xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กตู่” น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เฝ้าระวัง รับมือภัยพิบัติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ประยุทธ์” ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เน้นอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน สร้างความเข้มแข็งและภูมิต้านทานให้แก่ชุมชน

วันนี้ (14 มี.ค. ) เวลา 15.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสหประชาชาติระดับโลกว่าด้วยการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ครั้งที่ 3 (the Third UN World Conference on Disaster Risk Reduction) ณ เมืองเซนได ประเทศญี่ปุ่น โดยได้กล่าวแสดงความยินดีกับรัฐบาลและประชาชนชาวญี่ปุ่น ในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทย สำหรับการจัดการประชุมครั้งประวัติศาสตร์ การมาเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ เพื่อแสดงความพร้อมและความตั้งใจจริงของรัฐบาลและประชาชนชาวไทยที่จะร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศในทุกมิติ ในการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ

โดยรัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามแผนเฮียวโกะมาโดยตลอด และได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเตรียมการของภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เป็นภูมิภาคที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ ดังนั้น ผลจากการประชุมที่กรุงเทพฯ จึงเป็นพื้นฐานที่ดีต่อการกำหนดกรอบความร่วมมือฉบับใหม่ในครั้งนี้

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นทั้งผู้ประสบภัยและผู้ให้ความช่วยเหลือในสถานการณ์ภัยพิบัติ พายุไซโคลนนาร์กิสในเมียนมาร์ เหตุการณ์มหาอุทกภัยในประเทศไทย เหตุการณ์สึนามิในญี่ปุ่น และพายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนในฟิลิปปินส์ ล้วนย้ำเตือนว่า เราไม่อาจละเลยเพิกเฉยต่อภัยธรรมชาติ เหตุภัยพิบัติในที่หนึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อไปยังอีกหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่เศรษฐกิจโลกมีความเชื่อมโยงกันอย่างมาก

บทเรียนจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยในปี 2554 ทำให้ไทยพบว่าการป้องกันคือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด ดังนั้น รัฐบาลได้ผลักดันนโยบายพัฒนาการบริหารจัดการน้ำอย่างมีบูรณาการ และยั่งยืนโดยเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนการรักษาสิ่งแวดล้อม ลดการทิ้งขยะในแม่น้ำ และขุดลอกคูคลองเพื่อการระบายน้ำที่ดี รวมถึงศึกษาแนวทางโครงการในพระราชดำริต่างๆ เช่น โครงการแก้มลิงเพื่อพักน้ำ เป็นต้น

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงประสบการณ์ของไทย ว่า เพื่อลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ต้องมีการเตรียมการวางแผนไว้ก่อน เราจะต้องจัดให้มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ไม่ว่าจะเป็นการเงิน สิ่งของ และการบริการทางการแพทย์ การจัดเส้นทางอพยพ พื้นที่รวมพล พื้นที่รองรับผู้ประสบภัยระยะสั้น ระยะยาว การจัดให้มีเครื่องมือให้ความช่วยเหลือที่พร้อมและทันสมัย ยานพาหนะ สถานที่จอดเฮลิคอปเตอร์ ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงกรอบกฎหมายภายใน และวัฒนธรรมท้องถิ่นของแต่ละประเทศด้วย รวมทั้งต้องฝึกซ้อมการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมร่วมกันระหว่างภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ในยามวิกฤติอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนควรจัดทำทะเบียนทรัพยากรทั้งบุคคลและสิ่งของที่จะใช้ดำเนินงานความช่วยเหลือ เพื่อประกันความพร้อมในการระดมทรัพยากรยามจำเป็นและหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อน

ดังนั้น ประเทศต่างๆ ควรพัฒนาเครือข่าย สายด่วน ช่องทางติดต่อระหว่างผู้นำ และจุดติดต่อสื่อสารเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล และการแจ้งเตือนภัยที่ทันเหตุการณ์และมีประสิทธิภาพระหว่างกัน โดยเฉพาะระบบการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าที่เชื่อมโยงกันทั้งในและนอกภูมิภาค ผ่านเทคโนโลยีดาวเทียมและเทคโนโลยีอื่นๆ รวมถึงการใช้ประโยชน์จาก social media ในการเผยแพร่ข้อมูล เพื่อให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและกลุ่มเสี่ยง เช่น สตรี เด็ก ผู้พิการ ผู้สูงอายุ แรงงานข้ามชาติ ได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสม และเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็น

ทั้งนี้ ภาคเอกชนจะต้องลงทุนอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การลงทุนจะต้องไม่ทำร้ายธรรมชาติ และไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อชนรุ่นหลัง ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนจะต้องไม่ขวางทางน้ำไหล ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมขึ้นได้ภายหลัง การลงทุนจะต้องไม่ก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมของทรัพยากร

ภาคประชาสังคมและนักวิชาการจะต้องช่วยสนับสนุนรัฐบาลทั้งในส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น ตรวจสอบการดำเนินงาน ความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการดำเนินงานความช่วยเหลือ และในขณะเดียวกัน ก็ร่วมสร้างจิตสำนึกและวัฒนธรรมเตรียมความพร้อมและการลดความเสี่ยงต่อภัยพิบัติให้แก่สาธารณชน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แต่ละประเทศมีศักยภาพในการพัฒนาที่แตกต่างกัน ความร่วมมือระหว่างประเทศ และหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา จึงมีความสำคัญยิ่งต่อการเสริมสร้างขีดความสามารถ ระดมทรัพยากร รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยี

ในกรอบอาเซียน ประเด็นเรื่องภัยพิบัติได้รับความสำคัญในอันดับต้น อาเซียนยึดมั่นในการอนุวัติกรอบความร่วมมือเฮียวโกะ และตามความตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและการโต้ตอบสถานการณ์ฉุกเฉิน (AADMER) อีกทั้งกองทุนสำรองข้าวฉุกเฉินอาเซียนบวกสามเป็นเครื่องบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ไม่ให้เกิดการขาดแคลนอาหารเมื่อเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ

ในเอเชียและแปซิฟิก กองทุนเอสแคปสำหรับภัยพิบัติสึนามิ และการเตรียมความพร้อมจากสภาพภูมิอากาศเป็นตัวอย่างที่ดีอีกตัวอย่างหนึ่งและประเทศไทยมีความภูมิใจที่ได้เป็นผู้ร่วมริเริ่มก่อตั้งกองทุนดังกล่าว ไทยได้พัฒนาภูมิความรู้และเสริมสร้างความเข้มแข็งระดับชุมชนในการป้องกัน เฝ้าระวัง และรับมือภัยพิบัติ โดยยึดตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เน้นเรื่องการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืนและการสร้างความเข้มแข็งและภูมิต้านทานให้แก่ชุมชน ทรงสอนไม่ไปรบกวนธรรมชาติ หากใช้ธรรมชาติมากเกินไป ก็จะเป็นผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม และต่อโลก จึงต้องอยู่อย่างพอเพียง เพราะหากเกิดผลเสียหายแล้ว การฟื้นฟูจะใช้เวลายาวนาน


กำลังโหลดความคิดเห็น