xs
xsm
sm
md
lg

บรรยากาศซีเรียส กองทัพต้องกระชับอำนาจพิเศษคุมป่วนเมือง!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

มีความชัดเจนและยืนยันออกมาจากปากของ ฝ่ายตำรวจที่รับผิดชอบรองลงมาคือ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ที่บอกว่า การจับกุมและควบคุมตัวผู้ต้องหาในคดีวางระเบิดศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อค่ำวันเสาร์ที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา รวมไปถึงการรวบรวมหลักฐานเพื่อขอหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมล้วนอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายทหาร ซึ่งใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก ในการควบคุมตัวและสอบสวนก่อนที่จะส่งมอบให้ทางฝ่ายตำรวจสอบสวนเพิ่มเติม และนำเสนอต่อศาลเพื่อออกหมายจับผู้ต้องหาที่เหลือที่ร่วมกันก่อเหตุ

แน่นอนว่าคดีดังกล่าวย่อมมีความพิเศษ มีความอ่อนไหวต่อความมั่นคงของทั้งรัฐบาล คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รวมทั้งความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองอีกด้วย และรับรองว่าการลงมือก่อเหตุในครั้งนี้ย่อมเป็นขบวนการ หวังผลทางการเมืองชัดเจน

จากการสอบปากคำเบื้องต้นผู้ต้องหาที่ลงมือก่อเหตุได้ให้การว่าต้องการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวาย เพื่อให้องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เข้ามาแทรกแซง รวมทั้งมีเป้าหมายสูงสุดคือเปลี่ยนแปลงการปกครองบ้านเมืองไปเป็นแบบสาธารณรัฐ ขณะเดียวกัน คำสารภาพยังบอกอีกว่ากำลังเตรียมที่จะก่อเหตุพร้อมกันหลายจุดในพื้นที่ชุมชน สถานที่ที่เป็นสัญญลักษณ์ อย่างเช่นศาล หน่วยงานสำคัญทางราชการ โดยกำหนดดีเดย์ในวันที่ 15 มีนาคม

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพิจารณากันก็คือ นี่คือการจับกุมกันแบบทันควันแบบคาหนังคาเขา โดยมีการเปิดเผยในเวลาต่อมาว่าเป็นผลงานด้านการข่าวจากฝ่ายทหาร ที่ติดตามแกะรอย “ซุ่มโป่ง” มาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ผลจากการจับกุมของฝ่ายทหารและนำตัวผู้ก่อเหตุไปควบคุมตัวเพื่อสอบสวนในค่ายทหารตามกฎอัยการศึก ยังได้ข้อมูลเบื้องต้นโยงใยไปถึงบุคคลบางกลุ่ม อดีตข้าราชการระดับสูงบางคน มีการระบุชื่อชัดเจน จากหลักฐานที่เป็นหมายเลขโทรศัพท์ และนามบัตร ขณะเดียวกัน จากการจับกุมผู้ต้องหาได้อย่างทันควันย่อมต้องสามารถค้นหาหลักฐานขยายผลได้เป็นจำนวนมาก

ในระหว่างการแถลงข่าวหลังการจับกุมผู้ก่อเหตุ 1 ใน 2 คือ นายมหาหิน ขุนทอง หลังจากฝ่ายทหารได้สอบสวนในเบื้องต้นแล้ว ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ได้มีการระบุชื่อที่ได้ข้อมูลจากผู้ต้องหาที่น่าสนใจ 2 คน คือ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบก “ญาติผู้พี่” ของ ทักษิณ ชินวัตร และ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เจ้าของวลี “มีวันนี้เพราะพี่(แม้ว)ให้”

แม้จะเป็นข้อมูลเบื้องต้นจากปากคำของผู้ต้องหาและค้นหลักฐานในตัวและเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา มีการระบุเชื่อมโยงชื่อของบุคคลดังกล่าว แต่ก็ทำให้ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารบกและผู้บัญชาการทหารสูงสุดขู่ฟ้อง พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ พรรณจิตต์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ โดยกล่าวหาว่าชี้นำผู้ตัองหาใหัพูดและพาดพิงมาถึงเขาทำให้เสียหาย

อย่างไรก็ดี กรณีดังกล่าวกลับทำให้ได้เห็นปรากฏการณ์บางอย่างขึ้นมาชัดเจนทันที นั่นคือ การออกมา “การันตี” ถึงการทำหน้าที่ของผู้บัญชาการกองพลที่ 1 ดังกล่าวอย่างทันควันของผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ที่ย้ำว่าได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว หลังจากได้รับคำสั่งโดยตรงจากแม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบ และอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของผู้บัญชาการทหารบกอีกทอดหนึ่ง การให้ข้อมูลของ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 เป็นการพูดจากการได้ข้อมูลเบื้องต้นจากผู้ต้องหา ไม่ได้กล่าวร้ายใคร ทุกอย่างว่าไปตามพยานหลักฐาน

มิหนำซ้ำยังระบุอีกว่า เขามีข้อมูลรายชื่อบุคคลที่อยู่ในเครือข่ายที่ก่อเหตุอีกหลายคน เพียงแค่เอ่ยชื่อออกมาก็จะรู้ว่าอยู่กลุ่มไหนและเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองใด ตอนนี้กำลังติดตามเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ความหมายก็คือ ทุกอย่างที่พูดเป็นไปตามข้อมูลหลักฐานที่ฝ่ายทหารได้มา และยืนยันให้เห็นว่า “เป็นแบ็ก” ให้กับ พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ พรรณจิตต์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ในฐานะผู้ดูแลพื้นที่เกิดเหตุอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันยังเป็นการเตือนกลับไปกลายๆ ว่าอย่าแอ็กชันให้มากนัก เพราะยังมีข้อมูลอีกหลายอย่างอยู่ในมือ

ดังนั้น หากพิจารณาจากท่าทีและความเคลื่อนไหวล่าสุด จะเห็นแอ็กชั่นของฝ่ายกองทัพ สายตรงมอบหมายให้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก เข้ามากำกับดูแลสั่งการอย่างใกล้ชิด ภายใต้อำนาจพิเศษ “กฎอัยการศึก” เป็นเหมือนการ “กระชับอำนาจ” ให้เข้มข้นกว่าเดิม เพราะถือว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเส้นทางโรดแมป จะให้เกิดการกระเพื่อมไม่ได้ ทำเหยาะแหยะไม่ได้เป็นอันขาด และที่สำคัญมันต้องใช้คนกันเอง และมีอำนาจสั่งการได้กว้างขวางโดยตรง ซึ่งเรื่องซีเรียสแบบนี้จะเป็นใครไม่ได้!!
กำลังโหลดความคิดเห็น