โฆษกกลาโหมเผยรองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ย้ำทำโครงการเฉลิมพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์ ปฏิญาณทำความดีถึงปี 60 พร้อมงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ เจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ กำชับขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ คสช.ช่วยภัยแล้ง แจกน้ำทั่วถึง สำรวจพื้นที่ว่างเปล่าให้ชาวบ้านทำกิน เน้นส่งเสริมงานวิจัย สกัดจับยาเสพติด ระบุ “ประวิตร” บินถก รมว.กลาโหมอาเซียนที่มาเลย์ 15-17 มี.ค.
วันนี้ (25 ก.พ.) ที่กระทรวงกลาโหม เมื่อเวลา 12.00 น. พ.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยภายหลังสภากลาโหมว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานสภากลาโหม ได้ย้ำในที่ประชุมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพและหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม ถึงการจัดทำโครงการเฉลิมพระเกียรติเพื่อถวายให้แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ในลักษณะการตั้งปฏิญาณการทำความดีตั้งแต่ปี 2558 ถึง 2560 โดยให้พิจารณาดำเนินการให้เหมาะสม โดยรูปแบบต้องสอดคล้องกับโครงการของรัฐบาล พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้เข้าร่วมเพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
พ.อ.คงชีพกล่าวอีกว่า นอกจากนี้เนื่องในโอกาสที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ 60 พรรษา ในวันที่ 2 เมษายนนี้ ถือเป็นปีมหามงคลที่พสกนิกรชาวไทยจะได้แสดงออกถึงความจงรักภักดี กระทรวงกลาโหมกับภาคเอกชนจะจัดงานเฉลิมพระเกียรติตลอดทั้งปี จำนวน 60 โครงการ เช่น การจัดทำหนังสือเฉลิมพระเกียรติ การอุปสมบทหมู่ การพัฒนาแหล่งน้ำ
โฆษกกระทรวงกลาโหมเปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตรได้ย้ำในที่ประชุมกับผู้บัญชาการเหล่าทัพและหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม ให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพ กำชับผู้บังคับกองพันทั่วประเทศ ในการสนับสนุน ขับเคลื่อนงานยุทธศาสตร์ คสช.ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่เต็มความสามารถ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามแผนงานของคสช.และรัฐบาล พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ปฏิบัติตามแผนบรรเทาสาธารณภัยกระทรวงกลาโหม ในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยแล้งให้ครอบคลุมและเข้าถึงทุกพื้นที่ ตลอดจนชี้แจงประชาชนให้เข้าใจถึงผลกระทบที่เกิดจากภัยแล้ง ยืนยันโดยกระทรวงกลาโหมและกองทัพมีความพร้อมในการสนับสนุนทุกภาคส่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
“การทำงานของทหารที่เข้าไปช่วยเหลืองานด้านอื่นๆ เช่น ภัยแล้งในขณะนี้ เพราะเกรงว่าจะกลายเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ประชาชนเกิดความขัดแย้ง อีกทั้งเป็นการลดปัญหาการแย่งน้ำในช่วงนี้ ซึ่งกระทรวงกลาโหมพร้อมนำน้ำไปแจกจ่ายในทุกพื้นที่ให้ทั่วถึง อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ากองทัพจะเข้าไปช่วยงานด้านอื่นเพิ่มมากขึ้น แต่ในงานด้านความมั่นคงยังดำเนินการอยู่เต็มที่ในเรื่องการรักษาอธิปไตย อย่างไรก็ตาม การที่กองทัพเข้ามาสนับสนุนงานคสช.และรัฐบาลมาก เพราะเป็นการบริหารงานในสภาวะไม่ปกติ เพื่อช่วยขับเคลื่อนประเทศผ่านวิกฤตไปได้” พ.อ.คงชีพกล่าว
พ.อ.คงชีพกล่าวว่า ประธานสภากลาโหมสั่งการให้เหล่าทัพสำรวจพื้นที่ในความรับผิดชอบแต่ละหน่วยที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์มาสนับสนุนรัฐบาลแก้ไขปัญหาที่ทำกิน ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม อาทิ แบ่งสรรพื้นที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ เพื่อนำไปแจกจ่ายประชาชน และในอนาคตอาจเปิดให้ประชาชนเข้ามาทำกิน แต่ต้องทำข้อตกลงให้ชัดเจนของการเข้ามาใช้ประโยชน์ในพื้นที่ แต่ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะจัดสรรจะใช้พื้นที่ที่จัดสรรให้อย่างไร ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อภารกิจทางทหาร
โฆษกกระทรวงกลาโหมยังเปิดเผยว่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ย้ำในที่ประชุมถึงการส่งเสริมงานวิจัยและการพัฒนาทางทหารให้เป็นรูปธรรม โดยประสานทุกภาคส่วน เพื่อผลิตงานวิจัยให้ตอบสนองความต้องการของกองทัพและงานด้านความมั่นคง ถือเป็นการลดการใช้ผลิตภัณฑ์ต่างประเทศ เพื่อประหยัดงประมาณของกองทัพและประเทศชาติ นอกจากนี้ได้ย้ำกับเหล่าทัพในการจัดซื้อจัดหายุทโธปกรณ์ให้มีความรอบคอบและโปร่งใส โดยจัดซื้อตามแผนงานที่มีอยู่ทดแทนยุทโธปกรณ์ที่เสื่อมสภาพและให้ทันสมัย เพื่อให้ตรงกับการใช้จริง และมีความเสมอภาคในการจัดซื้อ เป็นไปตามกรอบของงบประมาณที่จัดสรรให้
พ.อ.คงชีพระบุด้วยว่า ประธานสภากลาโหมได้ย้ำในที่ประชุมในการดูแลความมั่นคงตามแนวชายแดน โดยให้กำชับผู้บังคับหน่วยตามแนวชายแดนทางบกและทางทะเล เข้มงวดการสกัดกั้นลักลอบนำเข้ายาเสพติด พร้อมทั้งไม่ให้มียาเสพติดในหน่วยทหารอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้ยังให้จัดกิจกรรมช่วงปิดภาคเรียนในการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยถึงนักศึกษาเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา
โฆษกกระทรวงกลาโหมเปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร จะเดินทางไปประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอาเซียน ระหว่างวันที่ 15-17 มีนาคมนี้ที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน จะมีการแลกเปลี่ยนแนวคิดความมั่นคงในภูมิภาค อาทิ เครือข่ายศูนย์ปฏิบัติการสันติภาพ ความร่วมมือติดต่อสื่อสารของผู้บังคับบัญชาระดับสูง และความร่วมมืออุตสาหกรรมป้องกันประเทศ อย่างไรก็ตามจะมีการเสนอเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษของไทย ให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาค ซึ่งทุกประเทศในอาเซียนจะได้ผลประโยชน์ร่วมกัน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะใช้เวทีดังกล่าวหารือแบบทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาเลเซีย เป็นการภายใน ส่วนการดูแลสถานการณ์ภาคใต้นั้นในที่ประชุม รมว.กลาโหมย้ำให้เข้มงวดงานด้านการข่าวภายหลังเกิดเหตุรอบวางระเบิด ตลอดจนของความร่วมมือประชาชนเป็นหูเป็นตา เนื่องจากความมั่นคงเกี่ยวข้องในทุกมิติที่ต้องช่วยกันแก้ไขปัญหา