xs
xsm
sm
md
lg

มีวันนี้เพราะ "พี่แม้ว" ให้ แต่ "น้องปู"เจอคดีหนักกว่า

เผยแพร่:   โดย: นกหวีด


ข่าวปนคน คนปนข่าว

คดีประวัติศาสตร์ครั้งที่สอง สำหรับตระกูลชินวัตร กำลังเริ่มนับหนึ่งเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ตามกงล้อแห่งกรรมที่ไล่ล่าคนคิดชั่วโกงกินบ้านเมือง ชะตากรรมของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ต้องตกเป็นจำเลย ในคดีละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ไม่ระงับยับยั้งความเสียหายโครงการจำนำข้าว มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปี

ในวันนี้ ไม่ต้องโทษใคร แต่ต้องหันกลับไปกราบงามๆ ที่ตักพี่ชาย “ทักษิณ”เพราะถือว่า“มีวันนี้เพราะพี่ให้”โดยแท้

ตั้งแต่เริ่มแรก“ยิ่งลักษณ์”ผู้ไม่ประสีประสาทางการเมือง ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยการหาเสียงเพียงแค่ 49 วัน จนขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของเมืองไทย และยังทำสถิติเป็นคนแรกในอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการทำให้คำเซิร์จใน กูเกิ้ล ว่า “โง่”จะปรากฏชื่อเธอขึ้นมาเป็นหน้ากระดานเรียงหนึ่ง ยังไม่นับรวมกับพฤติกรรมฉาว ทั้งเรื่องผู้หญิง และเรื่องขายหน้า แต่เธอก็ยังเชิดหน้าชูตาด้วยวาทกรรมเท็จ ที่สร้างเป็นชุด ตอกย้ำให้คนที่ “โง่กว่า”เชื่อว่า เธอเป็นหญิงเหล็ก ผู้มากไปด้วยความสามารถ ทั้งๆ ที่ความจริงกลวงโบ๋ และเน่าใน

ถ้าถามว่า“ยิ่งลักษณ์”รู้อะไรบ้าง เกี่ยวกับโครงการจำนำข้าว ก็น่าจะได้คำตอบว่า“ให้ชาวนาเถอะค่ะ” นอกนั้นอย่าไปถามให้เมื่อยตุ้ม เพราะเธอมีหน้าที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ ท่องตามบทเพียงอย่างเดียว แต่น่าสมเพชที่ในความเป็นจริง เธอคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบในทางกฎหมาย ขณะที่ตัวบงการวางแผน เขียนบท และกำกับการแสดง ลอยตัวสบายใจเฉิบ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ทั้งๆ ที่เคยคุยโวโอ้อวดคำโตเอาไว้ว่า “โครงการจำนำข้าว ผมคิดเองคนเดียว ให้คิดใหม่อีกกี่ครั้งก็เลิกไม่ได้”

วันนี้โครงการจำนำข้าวเพียงแค่ 5 ฤดูกาล ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จากความคิดของ “ทักษิณ”ใช้เงินกู้ไปแล้วประมาณ 1 ล้านล้านบาทภายในเวลาแค่ 2 ปีเศษ หรือคิดเป็นครึ่งหนึ่งของงบประมาณรายจ่ายประจำปีของประเทศไทย มีความเสียหายที่ปรากฏเป็นตัวเลขขาดทุน ราว 7 แสนล้านบาท นับเป็นนโยบายที่ทำลายสถานะการคลังของชาติอย่างย่อยยับ และยังอำมหิตใช้ชาวนาเป็นทางผ่านของการคอร์รัปชันครั้งมโหฬาร อีกด้วย

ถ้าเทียบกันระหว่างวีรกรรมที่สร้างเวรให้กับประเทศของ “ทักษิณ”กับ “ยิ่งลักษณ์” ต้องบอกว่า 6 ปีเศษของ ทักษิณไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของยิ่งลักษณ์ ที่ใช้เวลาทำชาติหายนะได้ภายในเวลาไม่ถึง 3 ปี

คดีของทักษิณ ที่ชัดเจนเพราะมีการตัดสินโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยึดทรัพย์เป็นเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทไปแล้ว ถ้านำมาเทียบความเสียหายจากโครงการจำนำข้าวที่ ยิ่งลักษณ์ และพวกทำก็เรียกว่าห่างกันหลายชั้น แต่ในรายละเอียดของคดีที่ทำให้ทักษิณถูกยึดทรัพย์ หากมาจำแนกให้ดีจะเห็นความเสียหายที่รุนแรงไม่แพ้กัน

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ทักษิณ ปกปิดอำพรางหุ้นโดยผ่านนอมินี ทุจริตเชิงนโยบายขายหุ้นให้เทมาเส็ก เป็นเงินกว่า 7 หมื่นล้านบาท จากเดิมก่อนเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินเพียงแค่กว่า 3 หมื่นล้านบาท เท่านั้น

กรณีนี้ประจานทักษิณว่า ไร้ซึ่งธรรมาภิบาล ฉ้อโกงผ่านการกำหนดนโยบาย โดยใช้อำนาจที่ประชาชนมอบให้ไปแสวงหาประโยชน์ให้กับธุรกิจของตัวเองและครอบครัวตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีติดต่อกันสองสมัย

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยังมีมติเป็นเอกฉันท์ด้วยว่า ทักษิณ กำหนดนโยบาย แปลงสัญญาสัมปทานฯเป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ให้กับ ชินคอร์ป ทำให้ชาติเสียหายจากการขาดรายได้ทางภาษีกว่า 6 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีกรณีการแก้ไขสัญญาโทรศัพท์มือถือ กรณีบัตรเติมเงินและโรมมิ่ง ที่มีการปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบบัตรเติมเงิน ส่งผลให้ เอไอเอส ได้รับประโยชน์ในการลดค่าใช้จ่ายลงถึงกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท ทำให้มูลค่าหุ้นสูงขึ้น จนกระทั่งขายให้เทมาเส็ก ได้ในราคาสูง

กรณีแก้ไขสัญญาสัมปทานดาวเทียมโดยมิชอบ คือ การอนุมัติโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์ , การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานครั้งที่ 5 รวมถึงการลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปใน บริษัท ชินแซทเทิลไลท์ ที่เป็นผู้ขออนุมัติสร้างและส่งดาวเทียมไทยคม และการอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ ล้วนเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทชินคอร์ปฯและชินแซททั้งสิ้น ทำให้รัฐเสียหายกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท

กรณีอนุมัติเงินกู้แอ็กซมแบงค์ให้พม่า ด้วยการขยายวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมให้รัฐบาลพม่าซื้อของกับธุรกิจของตัวเองเป็นเงิน 4 พันล้านบาท

ถ้านำความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทุจริตเชิงนโยบายของทักษิณ เท่าที่ศาลตัดสินในคดียึดทรัพย์จะพบว่า มีลาภที่มิควรได้จากการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจตัวเอง 4.6 หมื่นล้านบาท คือ จำนวนเงินที่ถูกยึดทรัพย์ ทำให้รัฐเสียหายในหลายกรณี ดังนี้ การแปลงสัญญาสัมปทานฯเป็นภาษีสรรพสามิตเสียหายจากการขาดรายได้ภาษีกว่า 6 หมื่นล้านบาท ส่วนกรณีแก้สัญญาโทรศัพท์มือถือ กรณีบัตรเติมเงิน และโรมมิ่ง ทำให้รัฐขาดรายได้อีกกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท

การอนุมัติโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์ , การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานครั้งที่ 5 รวมถึงการลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปในบริษัทชินแซทเทิลไลท์ ที่เป็นผู้ขออนุมัติสร้างและส่งดาวเทียมไทยคม และการอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ ทำให้รัฐเสียหาย 1.6 หมื่นล้านบาท และการอนุมัติเงินกู้เอ็กซิมแบ๊งให้กับพม่าซึ่งป่านนี้ยังใช้หนี้กันไม่หมดอีก 4 พันล้านบาท

รวมเบ็ดเสร็จแล้ว เฉพาะการขยายผลในคดียึดทรัพย์ 5 กรณี “ทักษิณ”ทำให้ชาติเจ๊งไป 4.6 หมื่นล้านบวก 6 หมื่นล้านบวก 1.8 หมื่นล้านบวก 1.6 หมื่นล้าน และ บวกอีก 4 พันล้าน เป็นตัวเลขกลม ๆ 144,000 ล้านบาท ที่สำคัญคือความเสียหายทั้งหมดถูกแปรไปเป็นผลประโยชน์เข้ากระเป๋าธุรกิจตระกูลชินวัตรทั้งสิ้น

ส่วนเงินจากโครงการจำนำข้าวที่เจ๊งไป 7 แสนล้านบาท จะเข้ากระเป๋าใครบ้าง เป็นเรื่องที่ต้องลากไส้เน่าๆ ออกมากองให้ประชาชนเห็น แต่ที่แน่ ๆ คนต้องจ่ายคืนให้แผ่นดิน หนีไม่พ้น “ยิ่งลักษณ์”และยังมีคดีอาญาอีกหลายคดีที่รอคิวให้เธอไปเที่ยว “ห้องกรง”อยู่ โดยเฉพาะคดี ย้ายถวิล เปลี่ยนศรี จากเลขา สมช. เอื้อประโยชน์ให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ พี่ชายพี่สะใภ้เป็น ผบ.ตร. ซึ่งถูกตัดสินมาแล้วสองศาลว่าเป็นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายทั้งจากศาลปกครองสูงสุดและศาลรัฐธรรมนูญ งานนี้โทษจำคุกสูงสุดรออยู่อีก 10 ปี

ใครที่ยังมองโลกแง่ดีว่า ยิ่งลักษณ์ จะอยู่สู้คดี น่าจะต้องไปซื้อแห้วมารอไว้ เพราะมีความเป็นไปได้สูงมากที่ ยิ่งลักษณ์ จะใช้บทเรียนของพี่ชาย มาเป็นประโยชน์กับตัวเอง ด้วยการไม่ยอมให้กระบวนการยุติธรรมเริ่มต้นคดีได้ คือ ไม่ไปปรากฏตัวในการไต่สวนนัดแรก ซึ่งจะทำให้ศาลต้องออกหมายจับ และจำหน่ายคดีชั่วคราว แตกต่างจากกรณี ทักษิณ ที่เคยกลับมากราบแผ่นดิน เพราะมั่นใจในอำนาจรัฐบาลสมัครว่า จะกำหนดยุติธรรมส่วนตัวได้ แต่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามคาด ถุงขนมสองล้านใช้งานไม่ได้ จึงถูกพิพากษาจำคุก 2 ปี เป็นชนักติดหลังที่ดิ้นไม่หลุดมาจนถึงทุกวันนี้

สำหรับ ยิ่งลักษณ์ การอยู่สู้คดี จึงมีเปอร์เซ็นต์น้อยมาก คสช. ต้องตรวจสอยตามรอยตะเข็บชายแดน รวมทั้งการเคลื่อนไหวของเครื่องบินเหมาลำให้ดี ไม่ใช่แค่ตีปี๊บ ห้ามไม่ให้ไปนอกเท่านั้น แต่ต้องดูแลไม่ให้ “หนี”ด้วย เพราะถ้าปล่อยให้เล็ดรอดออกไปได้ ในยุคที่รัฐบาลมีอำนาจเบ็ดเสร็จขนาดนี้ ก็คงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้

นอกจากเป็นการเอื้ออำนวยความสะดวกไม่ต่างจากที่ “ยุทธศักดิ์ ศศิประภา”นายพลถั่งเช่า เคยให้ “ทักษิณ”ไปโอลิมปิกตลอดชาติไม่ได้กลับเมืองไทยมาแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น