รมว.กลาโหมมาเลย์พร้อมคณะเข้าเยี่ยมคำนับ “ประวิตร” เตรียมถกจีบีซี ช่วงบ่าย โฆษกกลาโหมเผยมีคุยความมั่นคง ฝั่งมาเลย์รับเข้าใจปัญหาไทย ชื่นชมผู้นำไทยเดินตามโรดแมปไปในทางที่ดีขึ้น พร้อมหนุนสันติสุข จชต. เชื่อความสัมพันธ์ที่ดีของนายกฯ ทหารสองชาติเป็นส่วนสำคัญแก้ปัญหา
วันนี้ (29 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ดาโต๊ะ สรี ปังลิมา ฮิสฮัมมุดดิน บิน ตุน ฮุสเซน (Dato Seri Hishammuddin bin Tun Hussein) รมว.กลาโหม มาเลเซีย และคณะ ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการตำรวจ มาเลเซีย ได้เข้าเยี่ยมคำนับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ณ ศาลาว่าการกลาโหม ระหว่างเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และในช่วงบ่ายจะเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (กชท.) ไทย-มาเลเซีย หรือจีบีซี ไทย-มาเลเซีย ครั้งที่ 52 ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีฯ
พ.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ได้หารือร่วมกันถึงความร่วมมือในการแก้ปัญหาความมั่นคงของทั้งสองประเทศและภูมิภาค ทั้งในเรื่องการก่อการร้าย การค้ามนุษย์ และการแก้ปัญหาภาคใต้ รวมทั้งความร่วมมือระหว่างกันในเรื่องอื่นๆ เพื่อสร้างความสงบสุขของภูมิภาคร่วมกัน
ทั้งนี้ รมว.กลาโหมมาเลเซียได้กล่าวถึงความสำคัญของไทยและกำหนดการเยือนไทยเป็นประเทศแรกของการดำรงตำแหน่ง และการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม รมว.กลาโหมอาเซียนในปี 58 โดยเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยและมาเลเซียปัจจุบันมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมากกว่าอดีต อันเนื่องจากความสัมพันธ์ทางทหารที่ใกล้ชิดกันทั้งสองประเทศ
“มาเลเซียเข้าใจถึงปัญหาภายในของประเทศไทยและความยากลำบากในการแก้ปัญหาและได้ร่วมสร้างความเข้าใจกับประเทศต่างๆ ทั้งในภูมิภาคและประเทศอื่นถึงความจำเป็นในการแก้ปัญหาภายในของไทยตามแผนที่กำหนดตั้งแต่ต้น ขณะเดียวกันก็ขอชื่นชมในความกล้าหาญของผู้นำไทยที่เข้ามาบริหารงานให้เป็นไปตาม Road Map จนเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างมาก ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับประโยชน์โดยตรงและมาเลเซียเองก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนงานที่กำหนด” โฆษกกระทรวงกลาโหมกล่าว
สำหรับการแก้ปัญหาภาคใต้ของไทยนั้น ขอยืนยันและขอให้เชื่อมั่นในการให้การสนับสนุนจากมาเลเซียเพื่อให้เกิดสันติสุขในพื้นที่ พร้อมทั้งเสนอให้มีช่องทางติดต่อสื่อสารตรงระหว่างกันของ รมว.กลาโหมทั้งสองประเทศเพื่อขับเคลื่อนการแก้ปัญหาร่วมกัน และเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของนายกฯของทั้งสองประเทศและความสัมพันธ์ทางทหารที่ดีระหว่างกันของทั้งสองประเทศที่มีมายาวนาน จะเป็นส่วนสำคัญในความร่วมมือกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นของทั้งสองประเทศและภูมิภาคในอนาคตร่วมกัน
