xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กตู่” ส่งสัญญาณเข้ม ผวาบึ้มเคานต์ดาวน์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
รายงานการเมือง

ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารประเทศ ผลงานที่ดีที่สุดคงหนีไม่พ้นการป้องกันเหตุร้าย - เหตุรุนแรง ของบ้านเมืองให้ทุเลาลงได้

บรรดากลุ่มก้อนการเมืองสาย “ฮาร์ดคอร์” กระจัดกระจายหลบซ่อนในที่ลับกันเป็นทิวแถว ส่วนพวกที่ติดแบล็กลิสต์ของคสช. ก็วงแตก แยกตัวกันไปกบดานต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน

จากข้อมูลของหน่วยงานความมั่นคง พบว่า บรรดาพวกฮาร์ดคอร์สายแดง - ลูกสมุน นช.แม้ว - ทหารพรานแดง มักจะอาศัยเส้นทางหลบหนีไปยังประเทศกัมพูชา ระยะแรกอาศัยบารมีของ “ฮุนเซน” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา

แต่ระยะหลัง “บิ๊กตู่” ออกแอ็กชันไปถึง รัฐบาลกัมพูชา ขอความร่วมมือไม่เปิดพื้นทึ่ให้กลุ่มต้านได้อาศัย พร้อมยื่นข้อเสนอการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกัน ตามธรรมชาติของชายชื่อ “ฮุน เซน” ย่อมตาลุกไว้ก่อนเป็นธรรมดา กุลีกุจอ สั่งหน่วยทหาร - ข่าวกรอง - ตำรวจ ไล่ล่าบรรดาเครือข่าย “แดง” ในกัมพูชาทันที

ฮุนเซน แม้จะสนิทชิดเชื้อกันดีกับ “นช.แม้ว” แต่ก็รู้ทิศทางลมการเมืองของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี

รู้แม้กระทั่งว่า หากตกลงอะไรกับ “รัฐบาลบิ๊กตู่” จะเสร็จสมหวังอย่างที่คิดไว้ได้ง่ายกว่า “รัฐบาลทาสแม้ว” เพราะช่วงนี้มีโปรโมชันพิเศษถือ “กฎอัยการศึก” ไว้เป็นไม้กายสิทธิ์ ไว้ทุบ - ตี บรรดา “กลุ่มต่อต้าน” ได้

เห็นได้จากความร่วมมือเปิดด่านชายแดนถาวรบ้านหนองเอี่ยน - สตึงบท ซึ่งพูดคุยกันมานานแล้ว แต่ยังไม่มีจังหวะเหมาะสม ที่จะเปิดด่านถาวรดังกล่าว แต่หลัง “รัฐบาลบิ๊กตู่” เข้ามาบริหารแค่ 4 เดือน ความร่วมมือเปิดด่านถาวรหนองเอี่ยน - สตึงบท เสร็จเรียบร้อยทันที และจะมีอีกหลายประเด็นที่จะตกลงกันได้แบบง่ายดาย จึงต้องจับตาประเด็นพื้นที่พิพาททางทะเลให้ดี

สิ่งที่รัฐบาลบิ๊กตู่ ขอความร่วมมือไปยังกัมพูชา คือ คุมเข้มทุกพื้นที่ ห้ามให้ “กบฏแดง” ใช้เป็นฐานในการเคลื่อนไหวปลุกระดมมวลชนคนเสื้อแดง ให้กลับมาคึกคักใหม่อีกครั้ง

ทว่ารัฐบาลบิ๊กตู่ รู้ดีกว่า “กลุ่มฮาร์ดคอร์สายแดง” ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในหลายพื้นที่ ทั้งในประเทศ - นอกประเทศ บรรดา “หัวขบวน” คุมให้อยู่นิ่งได้ แต่บรรดา “หางขบวน” ยังเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา

โดย “หัวขบวน” แม้จะถูกตัดท่อน้ำเลี้ยง แต่ขุมทรัพย์ที่มีอยู่ สามารถนำมาหมุนเลี้ยงบรรดาสมุนแดง - ไพร่แดง ให้จงรักภักดีอยู่ได้อีกนานโข และนานพอที่จะออกมาปั่นป่วนบ้านเมืองได้เป็นระยะ

หลังประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่ “บิ๊กตู่” เป็นประธานได้ออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยตัวเองว่า ให้เพิ่มการรักษาความปลอดภัยในช่วงปีใหม่ และยืนยันด้วยว่า ไม่ใช่ “ภัยก่อการร้าย”

นั่นเพราะการข่าวจากวงประชุม สมช. มีการวิเคราะห์สถานการณ์ในช่วงปีใหม่ โดยหยิบยกเหตุการณ์ลอบวางระเบิด พื้นที่ กทม. ในช่วงปีใหม่ เมื่อปี 49 - 50 กว่า 10 จุด ซึ่งเป็นช่วงรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่เข้ามารับไม้ ต่อจากการรัฐประหาร ของ พล.อ.สนธิ บุญรัตนกลิน

ถือเป็นการลอบวางระเบิดครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง และเป็นการก่อเหตุหลังจากการรัฐประหาร เพื่อตอบโต้การทำงานของเจ้าหน้าที่ทหาร

วงประชุม สมช. คาดการณ์กันว่า หาก “ขั้วตรงข้าม” คิดที่จะมีปฏิกิริยาต่อต้าน “คสช.- รัฐบาล” ก็คงต้องอาศัยช่วงปีใหม่ เพื่อจุดชนวน ตอกย้ำเหตุการณ์เมื่อปี 2550

แน่นอนว่า รัฐบาลบิ๊กตู่ ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย จึงออกมาเตือนเสียงดังตั้งแต่เนิ่นๆ ว่า ในช่วงปีใหม่ให้ระวังอย่างเข้มงวด ไม่ให้พลาดซ้ำสองเป็นอันขาด เพราะเท่ากับยิ่งทุบความเชื่อมั่นของต่างชาติให้พินาศลงไปอีก หากเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ขึ้นในช่วงปีใหม่ จึงคำรามดังลั่นว่า “หากใครก่อเหตุ ถือว่าไม่รักชาติ”

จากการข่าวรายงานตรงกันเกือบหมดว่า พบความเคลื่อนไหวของขั้วตรงข้าม โดยเฉพาะ “กลุ่มนักรบแดง” ที่เคยซัดกับ ทหาร มาแล้วในช่วงการชุมนุมของ “คนเสื้อแดง” ในปี 53 ผนวกกับการออกมาเตือนของ “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าอาจจะมีเหตุการณ์ “ปฏิวัติซ้อน” ทำให้หน่วยข่าว ต้องวิเคราะห์สถานการณ์กันถี่ยิบ เกี่ยวกับภัยแทรกซ้อนที่อาจจะเป็นอันตรายต่อรัฐบาล คสช.

นอกจากจะต้องเฝ้าระวังในช่วงปีใหม่อย่างเข้มข้นแล้ว “การข่าว” ประเมินอีกว่า กลุ่มคนเสื้อแดง จะมีการเคลื่อนไหวในเชิงสัญลักษณ์เพิ่มเติมอีก โดยเฉพาะวันครบรอบการชุมนุมปี 52 ครบรอบการชุมนุมปี 53 เป็นต้น

นั่นเพราะ “คนเสื้อแดง” ต้องการเลี้ยงกระแสไม่ให้ตกไป จึงต้องเคลื่อนไหวตั้งแต่ช่วงต้นปี อีกทั้งยังเชื่อมั่นว่า อย่างไรเสีย คสช. จะคืนอำนาจให้ประชาชน พร้อมจัดการเลือกตั้งในช่วงปลายปี 58 ถึงต้นปี 59 อย่างแน่นอน

นอกจากนี้ เสียงของ “บิ๊กตู่” ที่ระบุว่า “รู้สึกเป็นห่วงเรื่องความมั่นคงในปี 2558 ที่จะมีมากขึ้น เพราะไทยเป็นแหล่งทรัพยากรมีหลายอย่างที่พวกทำผิดกฎหมายสามารถอยู่ได้ ซึ่งเราต้องเข้มงวดเรื่องนี้” ยังสะท้อนให้เห็นอาการหวั่นๆเกี่ยวกับ “ภัยก่อการร้าย"

จุดอ่อนของไทยในการป้องกัน กลุ่มก่อการร้าย ไม่ให้เข้ามาใช้เป็นทางผ่าน คือ ไม่มีระบบตรวจสอบที่เข้มข้นมากพอ เครื่องมือที่ใช้สแกนหน้า “ผู้ต้องสงสัย” แล้วสามารถรู้ประวัติการเดินทางย้อนหลังทั้งหมดได้ทันทีเลยแทบจะไม่มีใช้ เทคโนโลยีที่ยังตามหลังนานาประเทศอยู่หลายก้าว ทำให้ “กลุ่มก่อการร้าย” เลือกใช้ประเทศไทยเป็นแหล่งกบดาน - แหล่งซ่องสุม - ทางผ่าน เพื่อก่อเหตุร้ายในประเทศเป้าหมาย

ทำให้ “บิ๊กตู่” ค่อนข้างเป็นห่วงภัยก่อการร้าย โดยเฉพาะ “กลุ่มไอเอส” ที่ร่วมขยายวงกว้างไปทั่วโลก และ ขยายวงมาในภูมิอาเซียนแล้ว

ปีหน้าจับตา “ภัยความมั่นคง” ทั้ง “ภัยก่อการร้าย - ภัยการเมือง” ที่จะถาโถมเข้ามา ยังดินแดนสยามประเทศแบบไม่ยั้ง พิสูจน์ฝีมือว่าบรรดา “ขุนทหาร” จะรับมือไหวหรือไม่
กำลังโหลดความคิดเห็น