ผ่าประเด็นร้อน
“เรื่องเหล่านี้ให้ คสช. พิจารณาอยู่ และกติกามีอยู่แล้ว ถ้าเมื่อไหร่ที่สร้างผลกระทบความวุ่นวายต่างๆ กติกาก็มีตามระดับจากน้อยไปหามาก เดี๋ยวอยากไปต่างประเทศก็ไม่ได้ไป เข้าใจหรือเปล่าต่อไปก็อยู่ในประเทศก็แล้วกัน อยากพูดก็พูดในประเทศ ห้ามไปที่อื่น ต่อไปก็ห้ามทำธุรกรรมทางการเงิน กติกามันมีอยู่แล้ว”
นั่นเป็นคำพูดเมื่อวันก่อนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายกรัฐมนตรี ตอบโต้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อภาษาอังกฤษ “บางกอกโพสต์” เป็นการเฉพาะว่า “เธอเหมือนถูกปล้น ถูกปืนจ่อหัวจี้ให้ลงจากรถกลางทาง” เป็นการเปรียบเปรยให้เห็นว่าเธอถูก คสช. ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ ก่อรัฐประหารบังคับให้ลงจากอำนาจ ทั้งที่ได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชน พร้อมทั้งส่งสัญญาณว่าเธอพร้อมจะลงเลือกตั้งอีกครั้ง
การโผล่ออกมาของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งถือว่าเป็น “นอมินีสายตรง” ของ ทักษิณ ชินวัตร ครั้งนี้จึงไม่ธรรมดา เหมือนเป็นการตั้งใจพูดในโอกาสครบรอบ 6 เดือนของ คสช. และ 6 เดือนที่รัฐบาล (รักษาการ) ของเธอถูกขับพ้นจากเก้าอี้
ที่สำคัญ มองกันว่าการออกมาพูดแบบนี้ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เหมือนกับผ่านการเตรียมการ หรือ “ท่องบท” กันมาอย่างดี โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งสัญาณไปถึงเครือข่าย ทั้งข้าราชการและมวลชนที่เคยสนับสนุนทั้งหลายให้รับรู้ทั่วกันว่าให้อดทนรอไปอีกสักนิดหนึ่ง อีกไม่นานเมื่อมีการเลือกตั้ง “พวกเธอจะกลับมา”
ด้วยท่าทีและคำพูดดังกล่าวก็ได้ผล เมื่อทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นมาทันทีกับ ผู้ควบคุมอำนาจในปัจจุบัน คือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาล โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงกับตั้งใจพูดตอบโต้กลับไปเช่นเดียวกัน ดังที่ยกตัวอย่างคำพูดออกมาให้เห็นข้างต้น
ความหมายก็คือ ให้หยุดพูดหยุดการเคลื่อนไหวทันที อย่าล้ำเส้นเป็นอันขาด อีกมุมหนึ่งราวกับว่า"อย่าทำผิดเงื่อนไขที่เคยตกลงกันไว้" พร้อมทั้งขู่ว่าต่อไปอาจไม่ได้ออกนอกประเทศ รวมไปถึงอาจถูก “อายัดทรัพย์” ตามมาก็ได้ เมื่อเจอตอกเข้าไปดอกใหญ่แบบนี้ก็ต้องเงียบกริบ ไม่มีความเคลื่อนไหวออกมาไห้เห็นอีก มีแต่การส่งผ่านคำพูดออกมาในลักษณะที่ว่าเป็นการ “สื่อความหมายผิดเพี้ยนไป” อ้างว่าตอนที่พูดเป็นบรรยากาศสบายๆ ไม่ได้ซีเรียสและตั้งใจพูดอย่างนั้น ก็ว่ากันไป
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาตอบกลับ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือว่า “เข้ม” แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อาจเป็นเพราะในช่วงเวลานี้หลายสิ่งหลายอย่างเริ่มรุมเร้าเข้ามาพร้อมๆ กัน ความเคลื่อนไหวต่อต้านเริ่มมีให้เห็นแบบเป็นขบวนการมากขึ้น และเชื่อว่าจากนี้ไปจะมีการเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าวออกมาถี่ยิบมากขึ้น ประกอบกับช่วงจังหวะเวลาผ่านมา 6 เดือน เงื่อนไขก็เริ่มเป็นใจ เมื่อผลงานของคำสัญญาในบางเรื่องสำคัญยังไม่เข้าเป้า หรือยังล้มเหลว สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความเครียด เกิดความระแวงมากขึ้น ทำให้ต้องตอบโต้กลับไปด้วยเสียงเข้ม
ขณะเดียวกัน ก็เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า “ไม้เด็ด” ที่ทั้งสองฝ่ายใช้ข่มขู่ต่อรองฝ่ายตรงข้ามยังมีประสิทธิภาพ ยังใช้ได้ผลดีอยู่ เช่น เรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ คสช. ขู่ใช้มาตรการเด็ดขาดห้ามเดินทางออกนอกประเทศ และสั่ง “กักบริเวณ” รวมไปถึงการ “อายัดทรัพย์สิน” ย่อมทำให้ครอบครัวชินวัตรขนหัวลุกขึ้นมาได้ทันที ขณะเดียวกัน การออกมาเคลื่อนไหวส่งสัญญาณบางอย่างออกมาให้เห็นของ “ตัวแทนสายตรง” แบบที่เห็นก็ทำให้อีกฝ่ายหวั่นไหวได้กัน จึงต้องถูกตอบโต้กลับไปด้วยน้ำเสียงดุดัน ทำนองว่าอย่าล้ำเส้น อะไรประมาณ นั้น
อย่างไรก็ดี ปฏิกิริยาดังกล่าวข้างต้นที่แสดงออกมาของทั้งสองฝ่าย หากพิจารณากันอย่างละเอียดก็ต้องบอกว่านี่คือการต่อรอง เพราะแต่ละฝ่ายต่างก็มีทีเด็ดอยู่ในมือ ยังต้องรอจังหวะปล่อยออกมา และที่ผ่านมาก็เพียงแค่ “ปล่อยของ” ออกมาแหย่ดูบ้าง ระหว่างที่นั่งรออยู่ว่างๆ เท่านั้นเอง !!