xs
xsm
sm
md
lg

มท.1 เตรียมควงนายกฯ ลงอีสานแก้ภัยแล้ง ตั้งเป้าลดสูญเสียบนถนนต่ำกว่า 10 ต่อแสนคน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“อนุพงษ์” แจงกำหนดการ “ประยุทธ์” จะลงพื้นที่อีสานพร้อมตน เตรียมการแก้ภัยแล้งล้วงหน้า พร้อมเยี่ยมศูนย์ดำรงธรรม เชื่อ ปชช.เข้าใจการทำงานรัฐ ชี้เห็นต่างได้แต่ก่อความขัดแย้งทุกคนไม่เห็นด้วย มท.1 ยังเป็น ปธ.วันโลกรำลึกถึงผู้สูญเสีย ยกอุบัติเหตุทางถนนปัญหาสำคัญ เน้นลดสูญเสีย มี ศปถ.เป็นองค์กรหลัก ขอผู้ประสบเหตุเข้มแข็ง ตั้งเป้าลดความสูญเสียต่ำกว่า 10 คนต่อสัดส่วน 1 แสนคน

วันนี้ (16 พ.ย.) ที่ด้านหน้าอาคารที่ทำการองค์การสหประชาชาติ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกำหนดการของนายกรัฐมนตรีที่จะลงพื้นที่ตรวจราชการ ในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ ที่จังหวัดขอนแก่น และกาฬสินธุ์ ว่า ตนในฐานะ รมว.มหาดไทย ก็จะร่วมเดินทางไปกับนายกรัฐมนตรีในการลงตรวจพื้นที่ เพราะกระทรวงมหาดไทยมีส่วนรับผิดชอบร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย (ปภ.) และได้เตรียมการในเรื่องของการแก้ปัญหาภัยแล้งมานานแล้ว ซึ่งได้มีการจัดหาข้อมูล และดูในเรื่องของพื้นที่ที่คาดว่าน่าจะประสบปัญหาภัยแล้ง จากนั้นก็เป็นการเตรียมการทั้งเครื่องมือ และการประสานงานในแผนงานต่างๆ ที่จะลงพื้นที่ และให้การช่วยเหลือ ระหว่างนี้แม้บางพื้นที่ยังไม่ประสบปัญหาภัยแล้ง แต่ก็มีการวางแผนแก้ไขไว้ล่วงหน้าทั้งในส่วนของน้ำบาดาล แหล่งเก็บน้ำต่างๆ ซึ่งปภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการดำเนินการอยู่ ซึ่งในการเดินทางลงพื้นที่ในครั้งนี้ ตนและนายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดี ปภ. ก็จะร่วมคณะไปกับนายกรัฐมนตรีด้วย

เมื่อถามว่า มีข่าวว่านายกรัฐมนตรี และคณะจะถือโอกาสไปตรวจเยี่ยมในส่วนของศูนย์ดำรงธรรมด้วยจริงหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เป็นประเด็นที่สำคัญ เพราะงานของศูนย์ดำรงธรรมน่าจะตอบสนองสังคมได้ดี ซึ่งนายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย จะได้ชี้แจงต่อนายกรัฐมนตรีถึงการดำเนินงานที่ผ่านมา

เมื่อถามว่าขณะนี้มวลชนในพื้นที่ภาคอีสานเริ่มเข้าใจบทบาทการทำงานของรัฐบาล และสถานการณ์ดีขึ้นหรือยัง พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เชื่อว่าคนไทยทุกคนในขณะนี้มีความเข้าใจว่าประเทศเรานั้นไม่ว่าจะเห็นต่างกันอย่างไร แต่จะต้องไม่เกิดความขัดแย้งโดยเฉพาะความขัดแย้งที่จะนำไปสู่ความรุนแรง ตนเชื่อว่าทุกคนเข้าใจเพราะการพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการศึกษา จะต้องอยู่บนพื้นฐานของความสงบเรียบร้อย และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แม้จะมีความเห็นที่ต่างกัน แต่การที่จะไปทำอะไรที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ลุกลามบานปลายไปนั้น ทุกคนคงไม่เห็นด้วย เพราะเราก็มีบทเรียนกันมาแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า หมายควมว่าการลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่วิตกว่าจะมีมวลชน หรือกระแสต่อต้านใช่หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า “ผมว่าเรายืนอยู่บนจุดที่เห็นต่างกันได้ แต่ต้องไม่นำความขัดแย้งไปสู่ความรุนแรง และเกิดความไม่สงบ เพราะมันสูญเสียกันทุกคนทั้งประเทศ มันเสียโอกาสที่จะพัฒนาในทุกๆ ด้าน ทุกคนก็เห็นกันอยู่”

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า สำหรับการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมภารกิจในต่างจังหวัด ซึ่งถือว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. มีกำหนดจะเดินทางในวันที่ 19 พฤศจิกายน โดยจะมี รมว.มหาดไทย ปลัดมหาดไทย อธิบดี ปภ. นอกจากนี้ ยังมีการเชิญ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายปิติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรและสหกรณ์ ร่วมคณะด้วย สำหรับกำหนดการเบื้องต้น นายกรัฐมนตรี และคณะจะเดินทางจาก กทม.ในเวลา 08.00 น. ที่ ขส.ทบ. จากนั้นเวลา 09.00 น. เดินทางถึงสนามบินจังหวัดขอนแก่น และเดินทางต่อไปยังศาลากลางจังหวัดขอนแก่น เพื่อเปิดขบวนอุปกรณ์ป้องกันภัยแล้ง และประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดภาคอีสานทั้ง 20 จังหวัด เวลา 13.00 น. นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะจะเดินทางโดยขบวนรถยนต์ไปยังอำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น เพื่อดูปัญหาภัยแล้ง ก่อนที่เวลา 14.30 น.จะเดินทางต่อไปยังเขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ ทั้งนี้รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า นอกจากไปตรวจเยี่ยม และให้นโยบายเกี่ยวกับการแก้ปัญหาภัยแล้งแล้ว นายกฯ และคณะต้องการไปรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานของศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย ในประเด็นของมวลชนคนเสื้อแดงว่ายังมีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ จะถือโอกาสเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในส่วนของนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศไว้ว่าจะสามารถลงพื้นที่ได้ทุกภาคของประเทศหลังเข้ามาบริหารราชการ

ขณะเดียวกัน พล.อ.อนุพงษ์ ในฐานะประธานกรรมการและผู้อำนวยการ ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยบนถนน (ศปถ.) เป็นประธานในงานวันโลกรำลึกถึงผู้สูญเสีย โดยมี นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องและบรรเทาสาธารณะภัย ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย ผู้แทนกลุ่มผู้พิการจากเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ รวมทั้งประชาชนร่วมงาน โดยงานดังกล่าวจัดขึ้นทั้งในส่วนกลาง และภูมิภาค ระหว่างวันที่ 16-30 พฤศจิกายน โดยส่วนกลางจัดที่บริเวณหน้าที่ทำการองค์การสหประชาติ ถนนราชดำเนินนอก

พล.อ.อนุพงษ์ อ่านสารของนายกรัฐมนตรี ตอนหนึ่งว่า อุบัติเหตุทางถนนเป็นปัญหาสำคัญที่คร่าชีวิตคนไทย ทำให้มีผู้บาดเจ็บ และพิการ และทุพพลภาพจำนวนมาก รัฐบาลจึงให้ความสำคัญต่อการลดอุบัติเหตุบนถนน โดยกำหนดเป็นนโยบายหลักด้านการยกระดับคุณภาพการบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน โดยเน้นในเรื่องของการป้องกัน แก้ไขปัญหาและลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุจราจร โดยมี ศปถ.เป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนโดยบูรณาการทุกภาคส่วน ในการดำเนินมาตรการป้องกัน และลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง โดยมุ่งลดปัจจัยเสี่ยง ครอบคลุมทั้งคน ยานพาหนะ ถนน และสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการปลุกจิตสำนึกและวินัยจราจร การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ใช้รถใช้ถนนให้มีความปลอดภัย และปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างเคร่งครัด รวมทั้งวางกลไกเชิงระบบในการลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนเพื่อให้ประเทศไทยมีการสัญจรอย่างปลอดภัยตามมาตรฐานสากล และเนื่องในโอกาสวันโลกรำลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน ขอแสดงความเสียใจต่อผู้สูญเสีย และครอบครัว และขอเป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัว มีพลังกาย พลังใจที่เข้มแข็ง ต่อสู้กับปัญหา และอุปสรรคต่างๆ และร่วมกันรณรงค์ลดอุบัติเหตุบนท้องถนนต่อไป ซึ่งการลดอุบัติเหตุทางถนน เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อสภาที่จะร่วมมือกับทุกฝ่าย ในการตรวจจับและป้องกัน ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนทุกภาคส่วนให้มีบทบาทร่วมกันในการสร้างวัฒนธรรม และปลุกจิตสำนึก ร่วมทั้งลดจำนวนการสูญเสีย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้น พล.อ.อนุพงษ์ ได้ร่วมวางดอกกล้วยไม้สีขาว และเขียนคำรำลึกผู้สูญเสียก่อนปล่อยลูกโป่งสีขาว เพื่อรณรงค์การลดอุบัติเหตุทางท้องถนน

พล.อ.อนุพงษ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังงานว่า อยากให้ทุกคนตระหนักถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนกว่า 14,000 รายต่อปี รัฐบาลมีนโยบายที่จะลดอุบัติเหตุโดยใช้ปฎิญญาของสหประชาชาติมาดำเนินการใน 5 ประเด็น คือ การบริหารจัดการ การดูแลถนนและการจราจรให้ปลอดภัย การทำให้ยานพาหนะปลอดภัย การใช้รถใช้ถนนให้ปลอดภัย และการดูแลเมื่อเกิดอุบัติหตุ รัฐบาลมีแนวทางตามที่ประกาศนโยบายที่จะลดอุบัติหตุโดยมีมาตรการที่ร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อดำเนินการทั่วประเทศ เป้าหมายของรัฐบาลคือ ลดให้มีความสูญเสียต่ำว่า 10 คนต่อสัดส่วนประชากร 1 แสนคน ทั้งนี้ การดำเนินการต้องสร้างจิตสำนึก และวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนที่ปลอดภัยให้แก่คนในสังคม คงไม่มีหนทางใดที่จะทำให้สังคมตระหนักถึงผลของอุบัติเหตุ และสร้างจิตสำนึกที่ปลอดภัย




























กำลังโหลดความคิดเห็น