xs
xsm
sm
md
lg

รัฐบาล คสช.เริ่มเสียทรง “รัฏฐาธิปัตย์” ต้องเบ่งกล้าม

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวการเมือง

พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา
การบริหารราชการแผ่นดิน ภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่ - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมือง ที่ระยะหลังคนใน คสช.หลายคนออกมาประสานเสียงว่ายังมี “คลื่นใต้น้ำ” อยู่

การประชุมร่วมกันของ “คสช. - ครม.” เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา “หน่วยงานความมั่นคง” บรีฟให้ “บิ๊กตู่” รับทราบข้อมูลความเคลื่อนไหวใน “พื้นที่สีแดง” ว่าเริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลในเชิงลบ ที่สำคัญเริ่มมีการเคลื่อนไหวของ “กลุ่มวิทยุชุมชน” ออกชี้นำเพิ่มมากขึ้น

ทำให้หัวโต๊ะอย่าง “บิ๊กตู่” อยู่เฉยไม่ได้ สั่งการโดยตรงไปยัง “บิ๊กโด่ง - พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้กำชับหน่วยทหารที่ดูแล “พื้นที่สีแดง” โดยเฉพาะกองทัพภาคที่ 2 และกองทัพภาคที่ 3 ให้เข้มงวดกวดขันมากยิ่งขึ้น

เพราะหากปล่อยให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ขยายตัวในวงกว้าง และการนำ “สื่อ” มาเป็นตัวช่วย วันหนึ่ง “รัฐบาลสีเขียว” อาจจะไม่รากฐานที่ไม่มั่นคงเหมือนดังเดิมก็ได้ อย่าลืมว่า “พื้นที่สีแดง” มีมากกว่า “พื้นที่สีเขียว” มากโข

ตรงนี้กลายมาเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ “บิ๊กโด่ง” รื้อทหารใต้บังคับบัญชาแบบยกแผง ลงนามคำสั่งย้าย 251 นายพัน โดยปล่อยให้ “ทหารแตงโม” อยู่ในตำแหน่งไม่ได้อีกต่อไป เปลี่ยนขุมกำลังหน่วยปฏิวัติทั้งทหารราบ-ม้า-ปืน-รบพิเศษ ชนิดยกเครื่องใหม่เกือบทั้งหมด

นายทหารระดับ “ผู้บังคับการกองพัน” ที่ได้ดิบได้ดีหนีไม่พ้น “ทหาร” สาย “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม-บิ๊กป๊อก” เรียงคิวเข้ารับบำเหน็จกันเป็นทิวแถว แต่ที่ถูกจับตามองมากเป็นพิเศษคือการย้าย “พ.ท.สราวุธ ชินวัตร” หลานชายแท้ๆของ “นช.แม้ว-น.ส.ปูแดง” พ้น ผบ.ปตอ.พัน 7 เข้ากรุเป็นฝ่าย เสธ.ประจำผู้บังคับบัญชา แม้จะปรับยศเป็นพันเอก แต่ไม่ได้คุมกำลังคงไม่มีใครปลื้ม

หลายสิ่งหลายอย่างชี้ให้เห็นว่า ชั่วโมงนี้ “บิ๊กตู่ - คสช. - รัฐบาล” อยู่ในอาการหวาดระแวงว่า การปฏิวัติ 22 พฤษภาคม 2558 จะสูญเปล่า จึงรีบตัดไฟแต่ต้นลม เพื่อไม่ให้ไฟลามทุ่งไปมากกว่านี้ เพราะหากปล่อยให้ “สีแดง” ฟื้นคืนชีพเร็วเมื่อไร ยิ่งเป็นอันตรายต่อตัว “บิ๊กตู่” เองเมื่อนั้น

การประชุมร่วม “คสช.-ครม.” จึงตรึงเครียดเป็นพิเศษ และหลังประชุมเสร็จมีการบรีฟให้ “นายพลไก่อู - พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาแถลงข่าวในเชิงปราม “กลุ่มเคลื่อนไหว” ว่า คสช.ยังคงมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดคอยดูแลสถานการณ์อยู่ แถมยังส่งสัญญาณเข้มๆด้วยว่า “หากไม่สามารถสร้างความเข้าใจกับบุคคลที่เคลื่อนไหวทางการเมืองได้ ถ้าจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย ก็จะเริ่มจากกฎหมายปกติ จากเบาไปหาหนัก จนถึงใช้กฎอัยการศึก และมาตรา 44 (ใช้อำนาจหัวหน้า คสช.) แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราว หรือต้องใช้อำนาจพิเศษ ก็ต้องทำ รวมถึงการเรียกบุคคลที่มีความเห็นขัดแย้งให้มารายงานตัว เพื่อปรับทัศนคติรอบใหม่ก็ทำได้”

เป็นมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ที่ระบุว่า “ในกรณีที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นเป็นการจําเป็นเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ การส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ หรือเพื่อป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทําอันเป็นการบ่อนทําลายความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกราชอาณาจักรให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีอํานาจสั่งการระงับยับยั้ง หรือกระทําการใดๆได้ ไม่ว่าการกระทํานั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหารหรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคําสั่งหรือการกระทํา

รวมทั้งการปฏิบัติตามคําสั่งดังกล่าว เป็นคําสั่งหรือการกระทํา หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้และเป็นที่สุด ทั้งนี้ เมื่อได้ดําเนินการดังกล่าวแล้ว ให้รายงานประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว”

ถือเป็นบทบัญญัติที่ถูกจับตามองมากที่สุด และถูกแขวะว่าโคลนนิ่งเผด็จการทหารเต็มรูปแบบ เพราะเนื้อหาถอดแบบมาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502 ในยุคที่ “จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์” เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ

ตีความกันง่ายไม่ต้องอิงภาษากฎหมายให้มากความคือ “บิ๊กตู่” ในฐานะหัวหน้า คสช. ยังมีอำนาจ “รัฏฐาธิปัตย์” อยู่เต็มมือ จะสั่งให้ใครซ้ายหัวขวาหันได้หมด หากวันไหนเห็นว่าไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ภายในกรอบได้ บรรยากาศอาจจะกลับไปเหมือนตอนรัฐประหารใหม่ๆ คือการปิดสถานีโทรทัศน์-วิทยุ เรียกกลุ่มบุคคลรายงานตัว หรืออาจจะถึงขั้นประกาศ “กฎอัยการศึก” หรือประกาศเคอร์ฟิวทั่วประเทศอีกครั้งหนึ่ง

น่าแปลกใจว่าสถานการณ์ของ “บิ๊กตู่” เวลานี้ดูจะยังไม่เพลี่ยงพล้ำให้กับ “ขั้วตรงข้าม” มากมายนัก แต่กลับออกอาการถึงขนาดงัด “ท่าไม้ตาย” อย่างมาตรา 44 ขึ้นมาใช้ตั้งแต่ไก่โห่ ทั้งที่ตัวปัญหาในตอนนี้ยังเป็นแค่แกนนำระดับเบี้ยไม่กี่คน โดยที่แกนนำระดับขุนยังไม่ได้ออกโรงด้วยซ้ำ

แถมยังมีแอคชั่นแปล่งๆของ “บิ๊กตู่” กับกรณี “พี่แม้ว - น้องปู” ควงแขวนออนทัวร์ญี่ปุ่น-จีน ที่ออกปากขอให้สื่อหลีกเลี่ยงการนำเสนอข่าว-ภาพของ “นช.แม้ว” ทั้งๆที่ควรรู้อยู่แก่ใจว่า การปล่อยให้ “ยิ่งลักษณ์” ติดปีกโบยบินไปพบ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ในต่างประเทศ สื่อก็ต้องติดตามข่าว และนำภาพของ “อดีตผู้นำ” ทั้ง 2 คนมาตีข่าว ซึ่ง “วอร์รูม คสช.” น่าจะมองว่าจะเป็นเหมือนหนามหยอกอกจะแว้งทิ่มแทง “บิ๊กตู่” เข้าสักวันอยู่แล้ว

แต่ก็ยังออกลูกเกรงเปิดทางให้ “พี่แม้ว-น้องปู” ชิงพื้นที่สื่อไปแบบง่ายๆ

ต้องยอมรับว่า กระแสของ “คนเสื้อแดง” นาทีนี้ไม่ได้อยู่ที่ตัว “แกนนำ” แต่อยู่ที่ตัวของ “นช.แม้ว-น.ส.ปูแดง” ทั้งสองคนคือสัญลักษณ์ของ “ขั้วตรงข้าม” ในเวลานี้ หากมีภาพความเคลื่อนไหวเมื่อไรจะถูกนำไปขยายผลในด้านลบต่อ คสช.ทันที

ทว่า “บิ๊กตู่” และ “วอร์รูม คสช.” พลาดตั้งแต่ก้าวแรกที่ยอมให้ “ยิ่งลักษณ์” เดินทางไปต่างประเทศ ทั้งที่รู้อยู่แกใจว่า จะเดินทางไปพบ “พี่แม้ว” แต่ก็ยังปล่อยไปเหมือนออกลูกเกรงอกเกรงใจกัน

ฉะนั้นแทนที่จะออกมาวิงวอน “สื่อ” ไม่ให้เอาภาพคู่ “นช.แม้ว-น.ส.ปูแดง” ออกมาเผยแพร่ “บิ๊กตู่ - คสช.” ควรทบทวนตัวเองว่าจะอนุญาตให้ “ยิ่งลักษณ์” เดินทางไปต่างประเทศอีกหรือไม่

ดังนั้นต้องจับตาดูการเดินทางไปต่างประเทศของ “ยิ่งลักษณ์” ในครั้งต่อไปให้ดี เพราะ คสช.อาจจะมีเงื่อนไขออกมากำหนด ออกข้อห้ามต่างๆนานา เพราะมี “หน่วยงานความมั่นคง” บางหน่วย เสนอมาตรการดังกล่าวต่อ “บิ๊กตู่” แล้ว

หาก คสช.ต้องการอยู่ให้ยืด-นั่งให้ยาว ชนิดที่ไม่มี “มาร” มาผจญ หมากแต่ละตัวของ “ขั้วตรงข้าม” ก็ควรที่จะวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวให้มันเด็ดขาดหน่อย เพราะหากปล่อยให้เคลื่อนไหวแบบอิสระ มีหวัง “แพ้” ตั้งแต่ยังไม่เข้าโค้งสุดท้าย “แพ้” ตั้งแต่ยังไม่กำหนดวันเลือกตั้งครั้งใหม่ด้วยซ้ำ

ถึงวันนั้นคงพูดได้เต็มปากอีกว่า “รัฐประหาร” 22 พฤษภาคม 2558 คือการ ปฏิวัติปราสาททราย เวอร์ชั่น 2
 ยิ่งลักษณ์ - ทักษิณ ชินวัตร ควงแขนทัวร์ประเทศจีน
กำลังโหลดความคิดเห็น