ผ่าประเด็นร้อน
หลายคนอาจรู้สีกตื่นเต้นกับการแสดงอาการฮึดฮัดโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงของ จตุพร พรหมพันธุ์ หัวหน้าคนเสื้อแดง ออกมาตอบโต้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวงในยุคพรรคเพื่อไทยครองอำนาจ ถึงขั้นตัดขาดประกาศ “ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ” ใครที่ไม่เคยติดตามอย่างใกล้ชิด หรือรู้แบ็กกราวนด์ของคนพวกนี้อาจจะตื่นเต้น บางคนมองกันไปเลยเถิดว่าแตกกันแล้ว ต่อไปเครือข่ายระบอบทักษิณคงอ่อนแรงลงไปแล้ว
แต่สำหรับคนที่รู้ทัน และเข้าใจความเป็นมาของคนพวกนี้ก็ต้องบอกว่ามัน “ไม่มีความหมาย” และไม่ควรค่าใส่ใจ ทางหนึ่งมันเป็นแค่ละครน้ำเน่า แม้ว่าเป็นการแสดงที่สมจริงกว่าคราวก่อน แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่เรื่องจริง หรือถึงจะจริงมันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะคนพวกนี้มันเป็นแค่ลิ่วล้อ ไม่ได้ลงทุน ค้าแต่กำไร ที่สำคัญคนพวกนี้อยู่ได้ด้วยคนอื่น เป็นเพียงสะเก็ดดินเล็กๆ เท่านั้น
หากพิจารณาจากจุดเริ่มต้นกับการที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ออกมาวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองหลังสยบข่าวลือการเสียชีวิตทำนองว่า ทักษิณ ชินวัตร ได้กำไรและมีความสุขจากการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามายึดอำนาจ และยังฟันธงอีกว่าการเลือกตั้งคราวหน้าไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะออกมาแบบไหน พรรคเพื่อไทยก็จะชนะเลือกตั้งเหมือนเดิม และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มีโอกาสกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก
แต่ที่ต้องบอกว่าเป็น “จุดเดือด” ของ จตุพร พรหมพันธุ์ ก็คงเป็นเพราะคำพูดของ เฉลิม อยู่บำรุง ที่ว่าการรัฐประหารคราวนี้เป็นการแก้ปัญหาภายในพรรคเพื่อไทย และระหว่างรัฐบาลกับคนเสื้อแดง รวมไปถึงที่ประจานว่าการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงที่ผ่านมาล้วนได้รับการสนับสนุนด้านกำลังคน กำลังเงินทุกอย่าง เพื่อให้เกิดพลัง ความหมายก็คือไม่ใช่พาวเวอร์ของพวกแกนนำทั้งหลาย นอกจากนี้ยังมาเปิดโปงอีกว่าการชุมนุมที่ถนนอักษะก่อนการรัฐประหารของ คสช.มีคนมาร่วมไม่ถึงแสน ไม่ใช่สามแสนอย่างที่พวกแกนนำคนเสื้อแดงหรือที่พวกจตุพร อ้างกับ ทักษิณ
ประเด็นนี้สำคัญ ทั้งที่คำพูดแค่นี้หากพิจารณาโดยผิวเผินก็ไม่เห็นต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ถ้าลองคิดใหม่ให้ดีจะเห็นว่าตัวเลข 3 แสน กับ “ไม่ถึงแสน” มันต่างกันลิบลับ เพราะถ้าเสียงนินทาเรื่อง “ค่าหัว” ขนคนมีจริง มันก็ตอบคำถามได้ชัดว่า “ใครต้มใคร ใครหลอกรับประทานใคร” นี่ต่างหากที่ทำให้บางคนเกิดอารมณ์โกรธควันออกหู เพราะจู่ๆ แฉกันกลางวงแบบนี้เป็นใครก็ต้องหัวเสีย
อย่างไรก็ดี นี่เป็นเพียงการทะเลาะชี้หน้ากันของพวก “ลูกน้องปลายแถว” ถามว่า คนอย่าง เฉลิม อยู่บำรุง กับ จตุพร พรหมพันธุ์ มีความสำคัญกับ ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่ เมื่อเทียบกับลูกน้องรายอื่นๆ ที่อยู่ในพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่ถ้าเปรียบเทียบในรายละเอียดระหว่าง จตุพร กับ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่จตุพรอุตส่าห์ลากเอามาอ้างชื่อเป็นคู่ขัดแย้งกับ เฉลิม ด้วย เพราะรู้ดีว่าสถานะของสองแกนนำเสื้อแดงมันต่างกัน วัดกันได้จากตำแหน่งทางการเมือง ที่ณัฐวุฒิ ได้รับการส่งเสริมเป็นรัฐมนตรี หรือแม้แต่ก่อนหน้านี้ในช่วงชุมนุมก็รับรู้กันว่าใครสายตรงมากกว่ากัน
ดังนั้นถ้าสรุปให้เห็นภาพก็ต้องบอกว่าเป็นเพียงการทะเลาะกันส่งเสียงโครมครามน่ารำคาญเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้น เพราะทั้งคู่ล้วนปลายแถว อย่างมากก็เพียงแค่โชว์พาวเวอร์เพื่อรักษาสถานะของตัวเองต่อหน้ามวลชน ขณะที่อีกฝ่ายก็แสดงบทบาทเชลียร์เอาใจนายเพื่อรักษาความสำคัญของตัวเองในภายหน้า
ที่สำคัญบทบาทและอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเวลานี้ มันก็เคยเกิดขึ้นให้เห็นตัวอย่างมาแล้วหลายครั้ง หากจำได้ตั้งแต่สมัย “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ที่ตอนมีชีวิตก็เคยตัดเป็นตัดตายกับแกนนำคนเสื้อแดงพวกนี้มาแล้วแต่เอาเข้าจริงกลายเป็นว่าแยกกันแสดงบทบาทตามความถนัด หรือต่อมาก็เป็น ขวัญชัย สาราคำ แกนนำอุดรฯ ก็ด่าสาวไส้กันแบบนี้ แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นยังร่วมกันขึ้นเวทีเหมือนเดิม
ดังนั้นหากพิจารณาแบบเจาะจงเฉพาะ จตุพร พรหมพันธุ์ ก็เป็นการแสดงอาการเพื่อรักษาสถานะของตัวเองเท่านั้นไม่ได้เกี่ยวกับใคร และไม่ได้กระทบกับขบวนการของ ทักษิณ ในภาพรวมใดๆ ทั้งสิ้น!