00 ในที่สุดก็มีการยืนยันออกมาแล้วจากทีมงานโฆษกรัฐบาลว่า ในช่วงนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ยังไม่มีคิวเดินทางไปเยือนมาเลเซีย เพื่อพบหารือกับ นายกฯมาเลย์ นาจิบ ราซัก นั่นก็หมายความว่า ยังไม่มีการพูดคุยกันในระดับผู้นำเกี่ยวกับ "สันติสุขชายแดนใต้" อาการแบบนี้ถ้ามองให้ลึกก็น่าสันนิษฐานว่า ยังไม่ลงตัวเรื่อง "หัวหน้าทีม" เจรจา ที่ก่อนหน้านี้ทางฝ่ายไทยต้องการให้ฝ่ายทหาร เป็นคนทำทีม และมีการเจรจาต่อรองเรื่อยมา และหลังสุดฝ่ายความมั่นคง ที่นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม เคยเปิดเผยชื่อว่าเป็น พล.อ.อักษรา เกิดผล ประธานคณะที่ปรึกษาทบ. และมี ถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาฯสมช. เป็นที่ปรึกษา แต่ทางฝ่ายโน้นต้องการให้ฝ่ายพลเรือน เป็นหัวหน้าทีม คือ เลขาฯสมช. เหมือนกันทั้งสองฝ่าย เมื่อยังตกลงกันไม่ได้ ก็ต้องเลื่อนออกไปก่อน อย่างไรก็ดี ผู้นำทั้งสองประเทศ ก็คงได้พบกันอยู่ในการประชุมเอเปก ที่จีนในปลายปีนี้ ซึ่งก็อีกไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น
00 บางเรื่องมันก็ไม่น่าสงสัยอย่างที่ วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ทีมกฎหมายของรัฐบาล ที่ออกมาแสดงความเห็นในทำนองว่า สมาชิกสปช. ยังไม่จำเป็นต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินก็ได้ รอให้ ป.ป.ช. ประชุมออกมาก่อน โดยหยิบยกอ้างอิงเรื่องความหมายของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ว่ามีอะไรบ้าง หากพิจารณาในแง่กม. ก็คงไม่ผิด แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนก็คือ "จริยธรรมทางการเมือง" และสปิริต มันต้องมาก่อน เรื่องแบบนี้ ที่จริงไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องถาม หากพิจารณาจาก "สำนึก" ไม่ว่าจะบังคับหรือไม่ ก็ต้องยื่นอยู่แล้ว ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่า "สภาปฏิรูป" ทุกอย่างต้องเคลียร์ เข้ามาวาง รูปแบบการบริหารบ้านเมือง ร่างรธน. สารพัด แต่ตัวเองปิดงำมิดชิด มันจะใช้ได้ที่ไหน !!
00 เป็นไปตามโผแบบไม่ต้องลุ้น สำหรับประธาน สปช. ด้วยเสียงท่วมท้นคือ เทียนฉาย กีระนันทน์ ส่วนรอง สปช. ก็ต้องเป็น บวรศักดิ์ อุวรรณโณ โดยคนหลัง ยังมีภาระหน้าที่หลักต่อไปก็คือ ประธาน กมธ.ยกร่างรธน. ตามที่ คสช.วางตัวเอาไว้ล่วงหน้าหลายเดือนแล้ว ซึ่งทั้งสองตำแหน่ง ล้วนสำคัญ ต้องไว้ใจได้ และหลังจากนี้อีกไม่นาน เมื่อมีการโปรดเกล้าฯ ลงมา ก็เริ่มทำงานได้เต็มกำลัง
00 เชื่อว่าหลายคนที่ติดตามกันมาอย่างใกล้ชิดก็คงบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ท่าทีขึงขัง ฮึดฮัด ระหว่าง จตุพร พรหมพันธุ์ หัวโจกคนเสื้อแดง กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่มีการกล่าวหากัน ทำให้ฝ่ายแรกประกาศตัดเป็นตัดตายแบบ "ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ" ก็ต้องบอกว่า มันเพียงแค่ "ละครน้ำเน่า" ที่ไม่สมควรติดตาม เพราะคนพวกนี้มันเป็นแค่ "ลิ่วล้อ" ของทักษิณ ชินวัตร เป็นแค่คนรับใช้ของครอบครัวชินวัตร ดังนั้น เสียงดังโครมครามที่ได้ยินมันก็เป็นแค่การแสดงตามบท เพราะต่อให้จะฆ่ากันตาย แต่เมื่อ ทักษิณ บอกให้หยุด และหันมาจูบปาก ก็ทำทันที ซึ่งอาการที่เห็นแบบนี้มันเกิดขึ้นมา
หลายรอบแล้ว และคนเสื้อแดง ก็เคยเห็นแบบนี้มาหลายรอบ แต่ก็ยังอินทุกครั้ง
00 อย่างไรก็ดี หากให้ประเมินจากคำพูดของ เฉลิม อยู่บำรุง ที่บอกว่า การรัฐประหารของคสช. เที่ยวนี้ ทักษิณ ชินวัตร มีความสุขและได้กำไรมากที่สุด ก็ถือว่าจริง เป็นการรอกลับมามีอำนาจหลังการเลือกตั้งในเวลาอีกไม่นานนัก และระหว่างนี้ก็ "ไม่ต้องจ่าย" เบี้ยเลี้ยงให้กับพวกลิ่วล้อทั้งหลาย โดยเฉพาะคนเสื้อแดง เพราะเวลานี้อ้างสถานการณ์อัยการศึก งดกิจกรรม สบายไป แต่ถามว่าคนที่เสียหาย ขาดรายได้ก็คือ "ตู่" จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ คนพวกหลังนี่แหละ ขาดรายได้ โดยเฉพาะ ตู่ นั่นแหละที่รายได้หดกว่าใคร !!
00 บางเรื่องมันก็ไม่น่าสงสัยอย่างที่ วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ทีมกฎหมายของรัฐบาล ที่ออกมาแสดงความเห็นในทำนองว่า สมาชิกสปช. ยังไม่จำเป็นต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินก็ได้ รอให้ ป.ป.ช. ประชุมออกมาก่อน โดยหยิบยกอ้างอิงเรื่องความหมายของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ว่ามีอะไรบ้าง หากพิจารณาในแง่กม. ก็คงไม่ผิด แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนก็คือ "จริยธรรมทางการเมือง" และสปิริต มันต้องมาก่อน เรื่องแบบนี้ ที่จริงไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องถาม หากพิจารณาจาก "สำนึก" ไม่ว่าจะบังคับหรือไม่ ก็ต้องยื่นอยู่แล้ว ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่า "สภาปฏิรูป" ทุกอย่างต้องเคลียร์ เข้ามาวาง รูปแบบการบริหารบ้านเมือง ร่างรธน. สารพัด แต่ตัวเองปิดงำมิดชิด มันจะใช้ได้ที่ไหน !!
00 เป็นไปตามโผแบบไม่ต้องลุ้น สำหรับประธาน สปช. ด้วยเสียงท่วมท้นคือ เทียนฉาย กีระนันทน์ ส่วนรอง สปช. ก็ต้องเป็น บวรศักดิ์ อุวรรณโณ โดยคนหลัง ยังมีภาระหน้าที่หลักต่อไปก็คือ ประธาน กมธ.ยกร่างรธน. ตามที่ คสช.วางตัวเอาไว้ล่วงหน้าหลายเดือนแล้ว ซึ่งทั้งสองตำแหน่ง ล้วนสำคัญ ต้องไว้ใจได้ และหลังจากนี้อีกไม่นาน เมื่อมีการโปรดเกล้าฯ ลงมา ก็เริ่มทำงานได้เต็มกำลัง
00 เชื่อว่าหลายคนที่ติดตามกันมาอย่างใกล้ชิดก็คงบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ท่าทีขึงขัง ฮึดฮัด ระหว่าง จตุพร พรหมพันธุ์ หัวโจกคนเสื้อแดง กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่มีการกล่าวหากัน ทำให้ฝ่ายแรกประกาศตัดเป็นตัดตายแบบ "ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ" ก็ต้องบอกว่า มันเพียงแค่ "ละครน้ำเน่า" ที่ไม่สมควรติดตาม เพราะคนพวกนี้มันเป็นแค่ "ลิ่วล้อ" ของทักษิณ ชินวัตร เป็นแค่คนรับใช้ของครอบครัวชินวัตร ดังนั้น เสียงดังโครมครามที่ได้ยินมันก็เป็นแค่การแสดงตามบท เพราะต่อให้จะฆ่ากันตาย แต่เมื่อ ทักษิณ บอกให้หยุด และหันมาจูบปาก ก็ทำทันที ซึ่งอาการที่เห็นแบบนี้มันเกิดขึ้นมา
หลายรอบแล้ว และคนเสื้อแดง ก็เคยเห็นแบบนี้มาหลายรอบ แต่ก็ยังอินทุกครั้ง
00 อย่างไรก็ดี หากให้ประเมินจากคำพูดของ เฉลิม อยู่บำรุง ที่บอกว่า การรัฐประหารของคสช. เที่ยวนี้ ทักษิณ ชินวัตร มีความสุขและได้กำไรมากที่สุด ก็ถือว่าจริง เป็นการรอกลับมามีอำนาจหลังการเลือกตั้งในเวลาอีกไม่นานนัก และระหว่างนี้ก็ "ไม่ต้องจ่าย" เบี้ยเลี้ยงให้กับพวกลิ่วล้อทั้งหลาย โดยเฉพาะคนเสื้อแดง เพราะเวลานี้อ้างสถานการณ์อัยการศึก งดกิจกรรม สบายไป แต่ถามว่าคนที่เสียหาย ขาดรายได้ก็คือ "ตู่" จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ คนพวกหลังนี่แหละ ขาดรายได้ โดยเฉพาะ ตู่ นั่นแหละที่รายได้หดกว่าใคร !!