ล็อกสเปก สปช.ไม่สำคัญเท่าแบโผออกมาแล้วร้องยี้ !!

ผ่าประเด็นร้อน

ยิ่งเข้าใกล้เดือนตุลาคมเข้ามาเท่าใรก็ยิ่งต้องลุ้นกันว่าหน้าตาของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่เข้าไปทำหน้าที่ปฏิรูปบ้านเมืองทุกด้าน รวมไปถึงการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะออกมาเป็นแบบไหน เพราะเท่าที่สังเกตอาการรู้สึกว่าหลายคนมีความเคร่งเครียดกันพอสมควร

เพราะรู้ว่าสังคมจับตาเรื่องนี้มาก จนทำให้บางครั้งทำให้เกิดอาการพลาดพลั้งในเรื่องไม่เป็นเรื่อง และกลายเป็นเป้าสายตา ถูกจ้องมองแบบผิดปกติไปเลย เริ่มจากคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 117/2557 เรื่อง การตั้งคณะกรรมการคัดเลือกสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติขึ้นมาจำนวน 14 คน แต่ไม่ทันข้ามวันดีนัก ก็มีคำสั่ง คสช. อีกฉบับหนึ่งคือ ฉบับที่ 121/2557 มายกเลิกคำสั่งดังกล่าว อ้างว่าเกรงจะขัดรัฐธรรมนูญเพราะมีการระบุว่าการแต่งตั้ง สปช. เป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของ คสช. อยู่แล้ว และถ้าจะว่าไปแล้วจำนวนสมาชิกที่แต่งตั้งเข้ามานั้นส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดก็เป็นสมาชิกหรือไม่ก็มีบทบาทอยู่ใน คสช. อยู่แล้ว หลายคนก็เป็นถึงรองหัวหน้า คสช.

อย่างไรก็ดี เมื่อรู้ว่าจะหมิ่นเหม่ต่อการทำผิดกฎหมาย (ที่ตัวเองกำหนดมา) ก็ตาม ก็กลับลำเปลี่ยนแปลงทันที แต่ขณะเดียวกัน มันก็สะท้อนให้เห็นถึงความไม่นิ่ง ไม่รอบคอบได้เหมือนกัน เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่มีการแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ขาดคุณสมบัติเข้ามาหลายคน รวมไปถึงคำสั่ง คสช. หลายคำสั่งที่มีการแก้ไขภายหลัง

อย่างไรก็ดี สำหรับการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ แม้ว่าจะมีคนสมัครเข้ามามียอดรวมกว่าเจ็ดพันคน ถือว่ามีความคึกคัก ทำให้มีความหวังในเรื่องการปฏิรูปกันมากขึ้นอย่างน้อยก็ในช่วงเริ่มต้น แต่ก็ตามคาดในเมื่อการพิจารณาคัดเลือกอยู่ในมือของคนเพียงไม่กี่คน และภายใต้บรรยากาศของ “อำนาจเบ็ดเสร็จ” มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องถูกจับตาและมีเสียงนินทาตามมาว่าต้องมี “ล็อกสเปก” และตามข่าวก็มีรายงานเข้ามาบ้างแล้วว่าในพื้นที่ต่างจังหวัดเริ่มมีปัญหาในการคัดเลือกตัวบุคคล ที่ไม่มีความหลากหลาย มีการกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าอะไรแบบนี้ เพียงแต่ว่าเมื่อยังไม่มีการเปิดเผยออกมาจึงยังไม่สามารถชี้ชัดได้เต็มร้อย แต่ระยะหลังชักมีเสียงพูดกันหนาหู แม้แต่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) บางคน เช่น สมชาย แสวงการ เป็นต้น ได้เรียกร้องให้มีการพิจารณาอย่างโปร่งใส รวมไปถึงพวกนักการเมือง นักวิชาการหลายคนที่เริ่มออกมาติติงกันแล้ว

แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐาน เพราะยังคัดเลือกกันไม่เสร็จ ยังไม่ได้ประกาศรายชื่อออกมา มันก็พิสูจน์ไม่ได้ดังกล่าวแล้ว แต่ก็ทำให้เกิดความระแวงขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้ว

ด้วยสาเหตุแบบนี้นี่เองที่ทำให้บิ๊ก คสช. บางคน อย่างเช่น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องมีอการหงุดหงิดออกมาเมื่อถูกสื่อตั้งคำถามในเรื่อง “ล็อกสเปก” เพราะเหมือนกับว่าไปจี้ใจดำให้สะดุ้งมาทันที ทั้งที่ในความเป็นจริงมันไม่มีเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริง แต่ปัญหามันเป็นเพราะว่าการพิจารณาคัดเลือกอยู่ในอำนาจของคนเพียงกลุ่มเดียวหรือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น และคนที่มีบทบาทสำคัญก็คือตัวเขานั่นแหละที่ได้รับมอบหมายโดยตรงจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานคณะกรรมการสรรหา สปช.

ดังนั้น เมื่อเป็นแบบนี้มันก็ช่วยไม่ได้ที่สังคมบางกลุ่มจะตั้งคำถามและย้อนกลับไปพิจารณาจากบทบาทในเรื่องอื่นๆ ที่เชื่อมโยงไปถึงการแต่งตั้งโยกย้ายในบางหน่วยงาน หรือแม้กระทั่งล่าสุดในช่วงการแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อมาเปรียบเทียบความเป็นไปได้

อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันในความเป็นจริงก็ต้องยอมรับว่า การล็อกสเปกเป็นเรื่องปกติ เมื่อตัวเองมีอำนาจก็ต้องเลือกมาจากคนที่ไว้ใจได้ รู้จักที่มาที่ไป ไม่ใช่เรื่องแปลก เหมือนกับที่มีการแต่งตั้ง สนช. หรือแม้แต่ตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล ที่ส่วนใหญ่หลักๆ มาจาก “ทีมงาน คสช.” ทั้งสิ้น ซึ่งมันก็เป็นสถานการณ์บังคับ และไม่ต่างจากการคัดเลือก สปช. ก็ต้องคัดเลือกคนแบบเดียวกัน สามารถเดินไปตามโรดแมปแบบเข้าใจตรงกัน และคงไม่ใช่ปัญหานัก แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือต้องเลือกคนที่มีความรู้ความสามารถได้รับการยอมรับจากสังคมส่วนใหญ่จริงๆ ส่วนจะเป็นใครบ้างเชื่อว่าสังคมก็มองออกมีคำตอบให้ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเปิดออกมาแล้วมีแต่ “ยี้” ดังลั่นนั่นแหละยุ่งแน่

เพราะถ้าผลออกมาแบบนี้จริง มันก็จะส่งผลกระทบในเรื่องอื่นตามมาเป็นลูกโซ่ ความไม่ถูกใจหรือความล้มเหลวในบางเรื่องที่ก่อนหน้านี้เคยหลิ่วตามองผ่าน หยวนๆ กันมา ต่อไปก็จะงัดขึ้นมาตำหนิกันได้ทุกเรื่อง เพราะถ้าออกมาในแบบที่ต้อง"ปฏิรูปคนที่จะมาปฏิรูปก่อน"มันก็ไม่ไหวเหมือนกัน

อย่างไรก็ดี หากวิจารณ์ไปล่วงหน้าขณะที่ผลยังไม่ประกาศออกมา มันก็อาจจะไม่งาม แต่ขณะเดียวกัน หากไม่เตือนกระตุกเอาไว้บ้าง แล้วผลออกมาเป็นลบมันก็น่าเป็นห่วง เพราะมันจะเสียเวลา เสียของ !!