ข่าวปนคน คนปนข่าว
แม้หลายฝ่ายจะสะกิดเตือนท่านผู้นำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้ยกเลิกกฎหมายติดดาบ
“กฎอัยการศึก”เพื่อปลุกความเชื่อมั่นจากชาวต่างชาติ ให้นำเม็ดเงินกลับมาใช้จ่ายในประเทศไทย หลังผ่านสถานการณ์ล่อแหลมมาได้แล้วนาน 3 เดือน
แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเพราะ “ลุงตู่” บอกว่า ยังมีการเคลื่อนไหวบางอย่างที่ประชาชนมองไม่เห็น แต่หน่วยความมั่นคงมองเห็น
เป็นอาการระแวงคลื่นใต้น้ำที่อาจยกระดับกลับมาป่วน ในช่วงของการบริหารประเทศ !!
อย่างไรก็ดี การคงไว้กฎหมายพิเศษตัวนี้เอาไว้ แม้ในแง่ความมั่นคงจะสามารถอุ่นใจได้ว่า สามารถเอาอยู่กับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ แต่กับในมิติอื่นแล้วเทียบผลดี ผลเสีย กันปอนด์ต่อปอนด์ ย่อมมีผลกระทบมากกว่าเป็นผลบวก โดยเฉพาะมิติทางเศรษฐกิจของประเทศ
แน่นอนหากมองในมุมของคนไทย“กฎอัยการศึก”ตัวนี้ไม่คงความเข้มข้น หรือเข้มขลังเท่าไหร่ เพราะไม่ได้งัดมาใช้แบบเป็นเนื้อเป็นหนังนัก คนที่มีผลกระทบโดยตรงน่าจะมีเพียงนักการเมืองมากกว่า
แต่สำหรับชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยว หรือนักลงทุน คำว่า “กฎอัยการศึก”มีฤทธิ์มีเดชต่อการตัดสินใจว่า จะมาหรือไม่มา ค่อนข้างมาก
ดังนั้นหากยังคงกฎหมายพิเศษอยู่ คงเป็นเรื่องยากที่จะฉุดกระชากความเชื่อมั่นกลับมาให้ประเทศไทยได้ในเวลาอันรวดเร็ว และเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่าสถานการณ์ปกติ
ขณะเดียวกันในสถานการณ์ในปัจจุบันก็ไม่ได้น่าเกรงกลัวอะไร ลำพังอาญาสิทธิ์และอำนาจของ “ลุงตู่”ที่มีอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หัวหน้าคสช. และมีกองทัพหนุน สั่งการได้ทุกกรณี ก็เพียงพอจะจัดการกับพวกปลาซิวปลาสร้อยที่ออกมาป่วนได้ ไม่จำเป็นต้องอาศัยตัวช่วยอย่างกฎหมายพิเศษเลยแม้แต่น้อย
แค่บังคับใช้กลไกที่มีอยู่อย่างเคร่งครัดเป็นอันจบ
ส่วนที่อ้างว่ายังมี “คลื่นใต้น้ำ”อยู่ เอาเข้าจริงใครก็รู้กันถ้วนทั่วว่า คนที่มีอำนาจตัดสินใจในพรรคเพื่อไทย มีไม่กี่คน โดยเฉพาะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือ พี่ชายอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่องนี้ไม่ต้องเสียเวลาใช้กฎอัยการศึกเพื่อกางตาข่ายล้อมหน้าล้อมหลังครอบจักรวาล
เอาแค่ส่งสัญญาณ“ให้หยุด”กันไปถึงเท่านั้นก็สะดุ้งเฮือกกันแล้ว อย่าลืมว่า ณ สถานการณ์ปัจจุบัน ตนเองมีแต้มต่อในมือเยอะกว่า ฝั่งนั้นไม่กล้ายึกยักอะไรมาก
ดังนั้นไม่ต้องระแวงกันมาก รีบปลดล็อกกฎอัยการศึก เพื่อเป็นการเปิดฟลอร์ให้ทีมงานเศรษฐกิจที่เลือกสรรกันมาโชว์ผลงาน กวักมือเรียกลูกค้าให้กลับมาสู่ประเทศโดยเร็ว
นอกจากความเชื่อมั่นเรื่องความมั่นคงที่จะดึงดูดต่างประเทศให้นำเงินมาเทในประเทศไทย ด้วยการยกเลิกกฎหมายพิเศษแล้ว ในเรื่องของการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันก็เป็นอีกโจทย์หนึ่งที่รัฐบาลจะต้องเรียกความศรัทธากลับมาให้ได้ หลังจากบ้านเมืองต้องเสียศูนย์มานานนม เพราะปัญหานี้สะท้อนสายตาชาวโลกที่มองเราได้จากการจัดอันดับคะแนนความโปร่งใส ที่ไทยอยู่ในระดับห่วยแตก ลงเรื่อยๆ
วันก่อน“ลุงตู่”ถือฤกษ์ถือยาม ประเดิมงานแรกในฐานะนายกรัฐมนตรี ด้วยการหยิบแคมเปญ “Hand in Hand” ปฏิรูปการต่อสู้เพื่อชัยชนะที่ยั่งยืน เพื่อต่อต้านการคอร์รัปชัน ชูธงให้เห็นว่าเป็นงานใหญ่งานยักษ์ที่จริงจัง จะทำให้ในห้วงเฉพาะกาลนี้ เรียกว่า ได้ภาพไปเต็มๆ กับบทบาทผู้นำโปร่งใส
แต่ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ เหลาออกไปแล้วหน้าตาจะออกมาอย่างไร ยังไม่แน่ เพราะเช็กแถวรายชื่อคนมีอำนาจในปัจจุบัน ที่ไปฟอร์มทีมตั้งรัฐบาลกันมา โปรไฟล์หลายคนไม่ธรรมดา โดยเฉพาะด้านมืด จึงทำให้น่าเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน
อาทิ บางคนเคยมีเรื่องอื้อฉาวให้คลางแคลงใจกับกรณีเทงบมากมายมหาศาลเพื่อซื้อ “สากกะเบือ”มาตรวจสอบวัตถุระเบิด หรือบางคนถูกมองว่า เป็น“จอมวางยา”บริหารที่ไหนเจ๊งที่นั่น วงการนักธุรกิจทราบกันดี
พวกนี้ภาพลักษณ์ภายนอกดี แต่บาดแผลเหวอะหวะเต็มตัวเหมือนกัน จึงต้องระวังไม่ให้เกิดแบบนั้นซ้ำซาก เพราะการปราบคอร์รัปชันมันต้องเริ่มจาก“คนกันเอง”ที่ต้องทำให้สะอาดเอี่ยมอ่องก่อน ผิดว่าตามผิด ไม่มีเกรงใจใคร และไม่มีซุกขยะไว้ใต้พรม แม้แต่คนกันเองหากจับได้ ต้องจัดการเชือดให้สังคมเห็น ไม่ต้องไว้หน้า
ไม่ใช่“กระโดดอุ้ม”กันทุกสถานการณ์