xs
xsm
sm
md
lg

แนวต้านลองของ “ลุงตู่” ตายใจ...ระวังไฟไหม้ฟาง

เผยแพร่:   โดย: นกหวีด


ข่าวปนคน คนปนข่าว

ยิ่งนานวันความขลังของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ดูเหมือนจะค่อยๆ กระเพื่อมไหว และดูจะถูกท้าทายจากฝ่ายตรงข้ามมากขึ้นเรื่อยๆ

จากเดิมในช่วงแรกๆ สมัยยึดอำนาจใหม่ๆ บรรดาสมุนแมวเซา น.ช.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จอมฉาวแทบไม่มีใครกล้าขยับเขยื้อนด้วยเพราะกลัวอาญาสิทธิ์ในมือของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะหัวหน้า คสช.

แต่ระยะหลังเสมือนมนต์ขลังจะไม่เข้มข้น ทำให้ลิ่วล้อตั้งแต่ระดับหัวถึงระดับหางต่างเริ่มกระดุกกระดิก มีปากมีเสียงดังขึ้นเรื่อยๆจากแค่สัมภาษณ์ติติงธรรมดา ยกระดับกลายมาเป็นการวิพากษ์วิจารณ์แบบถึงพริกถึงขิง ดุเด็ด เผ็ดมัน ไม่ต่างจากช่วงที่มีประเทศไทยยังไม่อยู่ภายใต้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์

น่าจะประเมินได้ว่า หลังจากนี้บรรดาเจ้าเก่าขาประจำที่เคยจัดจ้าน จะเริ่มกลับมาปรากฏตัวทีละคนสองคนเป็นแน่

นอกจากการวิพากษ์วิจารณ์แล้ว การเคลื่อนไหวต่อต้านในรูปแบบอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะค่อยๆ ตื่นจากนิทราขึ้นมาเหมือนกัน โดยเฉพาะคิวหยามน้ำหน้ำด้วยการแจกใบปลิวโจมตีการทำงานของ“บิ๊กตู่”และคสช. โดยเริ่มจากในพื้นที่นนทบุรี แล้วค่อยๆ ลุกลามกระทั่งล่าสุดมาถึงเหยียบกันถึงหน้าถ้ำเสือ กองบัญชาการทหารบก (บก.ทบ.) ถนนราชดำเนิน เมื่อเช้ามืดวันที่ 15 สิงหาคม

เป็นการหยามที่เจ็บแสบมาก ทั้งข้อความ และสถานที่ ตลอดจนวิธีการลงมือ อันแสดงให้เห็นถึงความไม่ยำเกรงต่อคณะรัฏฐาธิปัตย์ของไทยแม้แต่นิดเดียว เพราะใช้รถแท็กซี่และมอเตอร์ไซค์เป็นยานพาหนะในการปฏิบัติการ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ากล้องวงจรปิดแถวนั้นมีหลายตัว และพร้อมจะจับภาพป้ายทะเบียน รายละเอียด รูปพรรณคนร้ายมาให้เจ้าหน้าที่ไปลากคอมาลงโทษได้อย่างง่ายดาย

แต่คนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้แคร์

กลับกัน คนเหล่านี้ยังดูออกในลักษณะของการ “ลองของกับคสช.”ว่า จะมีปฏิกิริยาออกมาอย่างไร เมื่อถูกเหยียบปลายจมูก ซึ่งจับปฏิกิริยาของ คสช.ล่าสุด ดูเหมือนจะออกไปในแนวปล่อยๆไปเสียมากกว่า โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคนจัดการ แตกต่างจากกรณีอื่นๆก่อนหน้านี้ที่ลงดาบกันอย่างฉับพลัน

โดยคสช.มองว่า คนกลุ่มนี้เป็นเพียงตัวเล็กตัวน้อย ในขณะที่คนส่วนใหญ่เข้าใจถึงเป้าหมายของคสช. จึงไม่อยากเสียเวลากับปลาซิวปลาสร้อย กระนั้น หากเป็นดังตรรกะที่ว่า อาจจะกลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมหันต์ครั้งหนึ่งก็เป็นได้

ทิ้งไว้เป็นหอกข้างแคร่

อีกทั้งจะยังกระตุ้นให้คนเหล่านี้ได้ใจจนยกดีกรีการต่อต้านให้หนักหน่วงมากกว่าเก่า ไม่ต่างจากไฟไหม้ฟางที่ลุกลามบานปลาย
ขณะเดียวกัน ยังจะทำให้แนวต้านบางส่วนที่นิ่งสงบอยู่กับที่ตั้งกลับมาฮึกเหิม และเอาเป็นพฤติกรรมเลียนแบบจนขยายวงกว้างขวางจาก กทม. ปริมณฑล เปลี่ยนเป็นภูมิภาค จังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน กระทั่งกลายสภาพเป็นม็อบต่อต้าน จนคสช.ตามเช็ดตามกวาดไม่หวาดไม่ไหว กระทั่งกลายเป็นแนวร่วมที่แข็งแกร่ง

ดังนั้น คสช.จึงไม่ควรมองข้ามจุดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ อย่ามองว่า เป็นแค่เรื่องขี้ประติ๋ว ปลวกแม้แต่ตัวเล็กแต่ถ้าพร้อมใจกันแล้ว ก็ก่อร่างสร้างจอมปลวกมหึมาอันใหญ่ได้จึงจำเป็นต้องดับไฟตั้งแต่ต้นลม ไม่ให้วอดลามทุ่งจนวิ่งไล่ดับกันไม่ทัน

และไม่ใช่แค่จุดนี้แค่จุดเดียว แต่ยังมีเชื้อเพลิงที่คอยตอดเล็กตอดน้อยคสช.อยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของ “นายอเนก ซานฟราน” ที่จัดทำคลิปวิดีโอให้ร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่อง จนบานปลายในโลกโซเชียลมีเดียอย่างไม่เกรงอกเกรงใจผู้มีอำนาจในประเทศไทยหนำซ้ำ ยังเย้ยหยันคสช. ที่ออกประกาศเรียกตัวเขา โดยระบุว่าตนเองไม่ใช่พลเรือนของประเทศไทยแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเชื่อน้ำยา

แม้จะเป็นเพียงกลุ่มก้อนหนึ่ง แต่การเผยแพร่ในโลกโซเชียลมีเดียก็ทำให้หลายคนที่มีต่อมต่อต้านการรัฐประหารครั้งนี้อยู่ลึกๆ ในใจเป็นทุนเดิมเคลิ้มตามและหลงเชื่อได้ง่าย ซึ่งเป็นอันตรายแน่ๆ ในอนาคตที่สำคัญเนื้อหาที่คนเหล่านี้ประโคมโหมออกมายังเป็นข่าวลือที่อยู่คู่ และกระทบจิตใจคนส่วนใหญ่มาสักระยะ ถ้าไม่กำจัดเชื้ออาจทำให้คนบางส่วนมองว่า คสช.ไม่มีน้ำยา และไม่เอาจริงเอาจังกับเรื่องดังกล่าวดังที่ปากพูด

นอกจากกลุ่มนายอเนกแล้ว เชื้อไฟสำคัญอีกจุดที่คสช. ต้องเทกแอคชั่นแบบเป็นจริงเป็นจังเสียทีคือ องค์กรเสรีไทยที่นำโดย “กุ๊ยคลองหลอด” นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีต รมว.มหาดไทย และ “เจ๊เพ็ญ”นายจักรภพ เพ็ญแข ที่ยังออกมาเคลื่อนไหวอยู่เป็นระยะ เนื่องจากคนกลุ่มนี้เป็นเสมือนต้นธารของแนวต้านทุกสาขาและทุกแขนงที่คอยกระตุ้นกลุ่มต่างๆ ให้ตื่นตัว ถ้าไม่ปราบปรามถอนรากถอนโคน กุดหัวให้หมดสิ้น การสลายสี การปฏิรูปการเมือง ก็ยากนักที่จะทำได้สำเร็จ ต่อให้ปฏิรูปดีแค่ไหนก็ตาม

แม้คนกลุ่มนี้จะอยู่ต่างประเทศ แต่ช่องทางในการสื่อสารมายังประเทศไทยนั้นมีเยอะ ฉะนั้น คสช.จำเป็นต้องเอาจริงเอาจังใช้กลไกต่างๆ ที่มีอยู่ในมือ ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ จัดการเพื่อขจัดหอกข้างแคร่นี้ให้ได้แต่เนิ่นๆ อย่าปล่อยทิ้งไว้ให้หมักหมมเหมือนตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งก็เห็นแล้วว่าแม้จะจัดการในประเทศได้ แต่หากยังมีปล่อยให้มีการเคลื่อนไหวอยู่นอกอาณาจักร การแก้ไขปัญหาก็ไม่สามารถทำได้แบบหมดจดเสียที

ด้วยเหตุนี้ จึงห้ามมองข้าม ปล่อยปละเป็นอันขาด ยิ่งตอนนี้มีอำนาจรัฏฐาธิปัตย์อยู่ในมือแบบเต็มๆ อยู่ การจะหยิบจับอะไรย่อมทำได้แบบเบ็ดเสร็จ ไม่มีจังหวะไหนดีเท่าจังหวะนี้อีกแล้ว ต้องรีบทำตั้งแต่วันที่ยังมีอำนาจละเลยไปอาจต้องมาเสียใจในภายหลัง

อย่าลืมว่าอีกไม่นานต่อจากนี้ คสช.จะคลายอำนาจบางอย่างไปให้รัฐบาล “บิ๊กตู่”จะกลายสภาพเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย ตอนนั้นจะกลายเป็นบุคคลสาธารณะ ความเข้มขลังจะลดลง ประชาชนเต็มขั้นย่อมต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้การจะแอกชั่นอะไรย่อมไม่ง่ายเหมือนตอนสวมท็อปบูต

ที่สำคัญ วันหนึ่งข้างหน้าจะต้องมีการยกเลิกกฎอัยการศึกอันเสมือนเป็นกฎหมายติดดาบของคสช. ตลอดช่วงที่ผ่านมาซึ่งเสมือนเป็นการลดหย่อนบรรยากาศให้แนวต้านออกมาขยับเขยื้อนกันได้ง่าย คล่องตัวกว่าเก่า หากปล่อยให้ไปถึงวันนั้น การจะไล่ล่า ปราบปรามคนเหล่านี้ย่อมกระทำได้ยากยิ่งหรือแทบจะทำไม่ได้เลย

เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ หากคิดว่า ไม่มีผลต่องานใหญ่ ถือเป็นการคิดผิดที่ต้องคิดใหม่โดยด่วน เพราะเรื่องนี้ไม่ต่างจากคนไข้มะเร็ง ถ้าผ่าตัดแล้วยังเหลือเชื้อร้าย วันหนึ่งมันก็งอกมาอีก
กำลังโหลดความคิดเห็น