ปลัดสำนักนายกฯ ปัดลาออกจากรองประธานบอร์ด อสมท ชี้คนที่ลาออกคือ “พล.อ.สุรศักดิ์” ปัดไปเป็นรัฐมนตรี เผยสัปดาห์หน้านายก อบจ.สกลนคร มาเยี่ยมเพื่อทำความเข้าใจว่าอย่าไปเหมารวมกับใคร ยัน คสช.ชะลอย้ายข้าราชการไม่กระทบ
วันนี้ (28 ส.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 13.40 น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสว่าลาออกจากรองประธานกรรมการ (บอร์ด) บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เพื่อเตรียมตัวมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่า ตนยังเป็นรองประธานกรรมการบริหาร อสมท อยู่ตราบจนเวลานี้ คาดว่าอาจเกิดการสับสนในข่าว เนื่องจากผู้ที่ลาออกคือ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ประธานกรรมการบริหาร อสมท
เมื่อถามว่า กระแสข่าวที่จะไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีจริงหรือไม่ ม.ล.ปนัดดากล่าวว่า เรื่องนี้เป็นที่เราไม่สามารถแต่งตั้งตัวเองได้ และขอยืนยันว่าตำแหน่งปลัดสำนักนายกฯ ที่ดำรงอยู่ปัจจุบันเป็นตำแหน่งเกียรติยศที่สูงยิ่งแล้ว เมื่อซักว่าถ้ามีผู้ใหญ่ขอร้องมาให้รับตำแหน่งรัฐมนตรีจะตัดสินใจหรือไม่ ม.ล.ปนัดดากล่าวว่า ตนไม่ขอตอบเรื่องนี้
ม.ล.ปนัดดากล่าวถึงความคืบหน้ากรณีแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กถึงการใช้งบประมาณไม่เหมาะสมขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ว่า นายก อบจ. สกลนคร และคณะให้ความกรุณาจะมาเยี่ยมตนที่สำนักปลัดประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในวันอังคารที่ 2 ส.ค.นี้ เพื่อจะพูดจาได้เกิดความเข้าใจกันว่าเป็นข้าราชการนั้นพูดจาอะไรไม่มีสิทธิ์จะไปเหมารวมกับใคร
โดยตนได้ถอดหมวกผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว ที่ทุกวันนี้เหมือนกับพนักงานธุรการ นั่งอ่านหนังสือร้องเรียนต่างๆ ที่เข้ามาแต่ละวันมากมาย หลังจากที่มีการยึดอำนาจได้มีประชาชนส่งเรื่องร้องเรียนเข้ามามากขึ้นถึง 4 เท่าตัว จึงอยากให้เกิดการดูแลรับใช้ประชาชนอย่างมีคุณภาพ ก็ต้องมีการติดตามงานกัน ตนต้องมาอ่านหลายฉบับด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้กำชับกับตนในช่วงท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องรับรองว่า ขอให้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ราชการ
เมื่อถามว่า ตามคำสั่ง คสช.ที่ให้มีชะลอการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการในช่วงนี้ ก่อนที่จะมี ครม.นั้น สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ได้ปฏิบัติตามหรือไม่ ม.ล.ปนัดดากล่าวว่า ทุกหน่วยงานถือปฏิบัติในกรอบเดียวกัน คือ ต้องรอจนกระทั่งมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ครม.ชุดใหม่ ทั้งนี้ ตนมองไม่เห็นความแตกต่างว่าจะมีการแต่งตั้งในขณะนี้ หรือภายหลัง แต่ที่สำคัญคือต้องคำนึงถึงความเหมาะสม คุณสมบัติ ความสามารถ อาวุโส และที่สำคัญที่สุดคือความเป็นจริยธรรมบุคคล