ASTVผู้จัดการรายวัน - สนช.โหวตนายกฯ วันนี้ ใช้วิธีขานชื่อโดยเปิดเผย ต้องได้ 99 เสียงขึ้นไป ชี้ผู้ได้รับการเสนอชื่อ ไม่จำเป็นต้องแสดงวิสัยทัศน์ และไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องประชุม เชื่อ “บิ๊กตู่” ได้รับการสนับสนุนท่วมท้น ขณะที่ทำเนียบเตรียมพร้อมจัดพิธีรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกฯ คนใหม่แล้ว
เมื่อเวลา 13.00 น.วานนี้ (20 ส.ค.) ที่รัฐสภา นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป สนช.) แถลงภายหลังการประชุมวิป สนช.ว่า ที่ประชุมวิป มีมติให้มีการประชุม สนช.สัปดาห์ละ 2 วัน ในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ เวลา 10.00 น. โดยจะประชุมวิป สนช.ทุกวันอังคาร
ส่วนวาระการประชุม สนช.ในวันนี้ (21 ส.ค.) มีเพียงวาระเดียว คือ การให้ความเห็นชอบบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยขั้นตอนการเลือกนายกรัฐมนตรี จะเริ่มจากการเสนอร่างข้อบังคับการประชุม เฉพาะหลักเกณฑ์เรื่องการเลือกตัวนายกรัฐมนตรี ให้ที่ประชุม สนช.เห็นชอบ เมี่อที่ประชุมให้ความเห็นชอบ ก็จะมีการพิจารณาเลือกนายกรัฐมนตรี โดยให้สมาชิก สนช.เสนอชื่อบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งการเสนอชื่อ ต้องมีสมาชิก สนช.1 ใน 5 ให้การรับรอง หรือประมาณ 40 คน โดยใช้วิธีเสียบบัตรลงคะแนนในการรับรอง แทนการยกมือรับรองเหมือนที่ผ่านมา เพื่อป้องกันไม่ให้มีการรับรองชื่อซ้ำซ้อนกัน หากมีการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีมากกว่า 1 คน
หลังจากที่มีการเสนอชื่อบุคคลที่มาเป็นนายกรัฐมนตรี และมีผู้รับรองครบถ้วนแล้ว ขั้นตอนการคัดเลือกจะให้เลขาธิการวุฒิสภาขานรายชื่อสมาชิก สนช. เพื่อให้ลงมติโดยเปิดเผยว่าเห็นชอบ ไม่เห็นชอบ หรืองดออกเสียง โดยผู้ที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของ สนช.ที่มีอยู่ หรือ 99 คะแนนขึ้นไป
ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องประชุม ไม่จำเป็นต้องแสดงวิสัยทัศน์ เพียงแต่ผู้เสนอชื่อ ต้องรับผิดชอบเรื่องการตรวจสอบคุณสมบัติว่าบุคคลดังกล่าวต้องไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และต้องมีการทาบทามบุคคลดังกล่าวมาล่วงหน้าแล้ว
สนช.หนุน “บิ๊กตู่” ท่วมท้น
นายสมชาย แสวงการ ในฐานะสมาชิก สนช. และเลขาธิการวิป สนช.กล่าวว่า ส่วนตัวตนไม่ทราบว่าใครจะเป็นคนเสนอชื่อบุคคลที่จะเป็นนายกฯ ต่อที่ประชุม และไม่มั่นใจว่า จะมีคนเสนอชื่อบุคคลอื่นเพื่อมาแข่งกันหรือไม่ เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่สำหรับตนแล้ว ตนสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างแน่นอน หากมีผู้เสนอชื่อ เพราะตนก็พูดมาตั้งแต่แรกแล้ว และ พล.อ.ประยุทธ์ก็เป็นบุคคลที่มีความรอบรู้ในหลายๆ ด้าน ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ทหารเท่านั้น อีกทั้งเหตุการณ์การปฏิวัติในอดีต ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า หากมีการแต่งตั้งบุคคลอื่นเข้ามาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ไม่ได้บอกว่าพวกเขาไม่ดี เพราะฉะนั้นในครั้งนี้เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนลงมาพายเรือแล้ว ก็น่าจะเป็นคนพาประเทศไทยให้ถึงฝั่งแน่ๆ และตนก็เชื่อว่าสมาชิกส่วนใหญ่ จะมีความเห็นที่ไม่แตกต่างกับตน
น้องชาย “บิ๊กตู่” ปัดเป็นผู้เสนอชื่อนายกฯ
พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา สมาชิก สนช. น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่า สนช.คนใดจะเป็นผู้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีในวันนี้ แต่ยืนยันว่าไม่ใช่ตน เพราะไม่มีการติดต่อมา
เมื่อถามว่า หากมีการเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ จะยกมือให้หรือไม่ พล.ท.ปรีชาเลี่ยงตอบ พร้อมระบุว่าส่วนตัวเห็นด้วยว่าหัวหน้า คสช.มีความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งนายกฯ ณ เวลานี้ เพราะตลอดชีวิตราชการไม่มีประวัติด่างพร้อย อย่างไรก็ตาม การโหวตไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตนคนเดียว แต่ต้องดูมติที่ประชุมด้วย ดังนั้น ขอให้รอดูข้อสรุปในวันนี้
ทำเนียบเสร็จทันรับนายกฯ ใหม่
ในวันเดียวกันนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองหัวหน้า คสช. ในฐานะหัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ ได้เป็นประธานการประชุมติดตามความคืบหน้าการปรับปรุงทำเนียบรัฐบาล โดยมี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมอย่างพร้อมเพรียง
พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวว่า การปรับปรุงอาคารต่างๆ ในทำเนียบรัฐบาลเพื่อใช้เป็นสถานที่รับรองนายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้น ไม่มีปัญหา จะเสร็จทันอย่างแน่นอน โดยตั้งเป้าให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 ก.ย. 2557 โดยความพร้อมต่างๆ ทั้งตึกไทยคู่ฟ้า และทั้งหมดจะต้องแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือน ส.ค.นี้ สำหรับห้องประชุม ครม.ชั้น 5 ตึกบัญชาการ 1 จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนนี้เช่นกัน เพื่อสามารถรองรับการประชุม ครม.ที่จะเกิดขึ้น
นอกจากนี้ ได้เตรียมสถานที่ที่จะทำพิธีรับสนองพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ไว้ที่ทำเนียบรัฐบาลด้วย
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความพร้อมในส่วนของทำเนียบรัฐบาลว่า จากรายงานครั้งสุดท้ายงานทุกอย่างเป็นไปตามกรอบเวลา เมื่อมีการโปรดเกล้าฯ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ก็ต้องเป็นไปตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) กำหนดไว้ ซึ่งขณะนี้สถานที่ ห้องทำงานนายกรัฐมนตรี และความพร้อมทุกอย่างเป็นไปตามกรอบเวลา ซึ่งทาง สลน.เป็นผู้รับผิดชอบ
เมื่อถามย้ำว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่คนที่ 29 นี้ เมื่อเข้ามารับตำแหน่ง จะต้องเข้านั่งบริหารงานที่ตึกไทยคู่ฟ้าใช่หรือไม่ ม.ล.ปนัดดากล่าวว่า “ต้องเป็นเช่นนั้นครับ”
พล.อ.สกล ชื่นตระกูล ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า คสช. กล่าวว่า ในส่วนความพร้อมของห้องทำงานนายกรัฐมนตรี และตึกไทยคู่ฟ้า ขณะนี้มีความพร้อมแล้ว มีการซักพรม ผ้าม่าน การทำความสะอาด และซ่อมแซมโต๊ะเก้าอี้ เพื่อรองรับการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว
ส่วนที่มีข่าวว่า ยังไม่มีการจัดวางโต๊ะ เก้าอี้ ของนายกรัฐมนตรี เพราะต้องรอให้ชินแสมาดูฮวงจุ้ยก่อนนั้น ไม่เป็นความจริง การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ก็เป็นไปตามความเหมาะสม และสะดวกต่อการปฏิบัติงานเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่จะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่
ทั้งนี้ รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า ในส่วนการเตรียมพร้อมสถานที่เพื่อรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ นายกรัฐมนตรี คนที่ 29 นั้น ในส่วนของกองการสถานที่ทำเนียบรัฐบาล ก็พยายามที่จะเร่งปรับปรุง และเตรียมความพร้อม ซึ่งหากจะมีการใช้สถานที่ของทำเนียบรัฐบาลเป็นที่รับสนองพระบรมราชโองการฯ จริง ก็คาดว่าจะใช้ห้องสีงาช้าง ภายในตึกไทยคู่ฟ้า หรือห้องสีเหลือง ที่ตึกสันติไมตรี แต่ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาจากคณะทำงานของนายกรัฐมนตรีคนใหม่
เมื่อเวลา 13.00 น.วานนี้ (20 ส.ค.) ที่รัฐสภา นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป สนช.) แถลงภายหลังการประชุมวิป สนช.ว่า ที่ประชุมวิป มีมติให้มีการประชุม สนช.สัปดาห์ละ 2 วัน ในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ เวลา 10.00 น. โดยจะประชุมวิป สนช.ทุกวันอังคาร
ส่วนวาระการประชุม สนช.ในวันนี้ (21 ส.ค.) มีเพียงวาระเดียว คือ การให้ความเห็นชอบบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยขั้นตอนการเลือกนายกรัฐมนตรี จะเริ่มจากการเสนอร่างข้อบังคับการประชุม เฉพาะหลักเกณฑ์เรื่องการเลือกตัวนายกรัฐมนตรี ให้ที่ประชุม สนช.เห็นชอบ เมี่อที่ประชุมให้ความเห็นชอบ ก็จะมีการพิจารณาเลือกนายกรัฐมนตรี โดยให้สมาชิก สนช.เสนอชื่อบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งการเสนอชื่อ ต้องมีสมาชิก สนช.1 ใน 5 ให้การรับรอง หรือประมาณ 40 คน โดยใช้วิธีเสียบบัตรลงคะแนนในการรับรอง แทนการยกมือรับรองเหมือนที่ผ่านมา เพื่อป้องกันไม่ให้มีการรับรองชื่อซ้ำซ้อนกัน หากมีการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีมากกว่า 1 คน
หลังจากที่มีการเสนอชื่อบุคคลที่มาเป็นนายกรัฐมนตรี และมีผู้รับรองครบถ้วนแล้ว ขั้นตอนการคัดเลือกจะให้เลขาธิการวุฒิสภาขานรายชื่อสมาชิก สนช. เพื่อให้ลงมติโดยเปิดเผยว่าเห็นชอบ ไม่เห็นชอบ หรืองดออกเสียง โดยผู้ที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของ สนช.ที่มีอยู่ หรือ 99 คะแนนขึ้นไป
ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องประชุม ไม่จำเป็นต้องแสดงวิสัยทัศน์ เพียงแต่ผู้เสนอชื่อ ต้องรับผิดชอบเรื่องการตรวจสอบคุณสมบัติว่าบุคคลดังกล่าวต้องไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และต้องมีการทาบทามบุคคลดังกล่าวมาล่วงหน้าแล้ว
สนช.หนุน “บิ๊กตู่” ท่วมท้น
นายสมชาย แสวงการ ในฐานะสมาชิก สนช. และเลขาธิการวิป สนช.กล่าวว่า ส่วนตัวตนไม่ทราบว่าใครจะเป็นคนเสนอชื่อบุคคลที่จะเป็นนายกฯ ต่อที่ประชุม และไม่มั่นใจว่า จะมีคนเสนอชื่อบุคคลอื่นเพื่อมาแข่งกันหรือไม่ เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่สำหรับตนแล้ว ตนสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างแน่นอน หากมีผู้เสนอชื่อ เพราะตนก็พูดมาตั้งแต่แรกแล้ว และ พล.อ.ประยุทธ์ก็เป็นบุคคลที่มีความรอบรู้ในหลายๆ ด้าน ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ทหารเท่านั้น อีกทั้งเหตุการณ์การปฏิวัติในอดีต ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า หากมีการแต่งตั้งบุคคลอื่นเข้ามาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ไม่ได้บอกว่าพวกเขาไม่ดี เพราะฉะนั้นในครั้งนี้เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนลงมาพายเรือแล้ว ก็น่าจะเป็นคนพาประเทศไทยให้ถึงฝั่งแน่ๆ และตนก็เชื่อว่าสมาชิกส่วนใหญ่ จะมีความเห็นที่ไม่แตกต่างกับตน
น้องชาย “บิ๊กตู่” ปัดเป็นผู้เสนอชื่อนายกฯ
พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา สมาชิก สนช. น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่า สนช.คนใดจะเป็นผู้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีในวันนี้ แต่ยืนยันว่าไม่ใช่ตน เพราะไม่มีการติดต่อมา
เมื่อถามว่า หากมีการเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ จะยกมือให้หรือไม่ พล.ท.ปรีชาเลี่ยงตอบ พร้อมระบุว่าส่วนตัวเห็นด้วยว่าหัวหน้า คสช.มีความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งนายกฯ ณ เวลานี้ เพราะตลอดชีวิตราชการไม่มีประวัติด่างพร้อย อย่างไรก็ตาม การโหวตไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตนคนเดียว แต่ต้องดูมติที่ประชุมด้วย ดังนั้น ขอให้รอดูข้อสรุปในวันนี้
ทำเนียบเสร็จทันรับนายกฯ ใหม่
ในวันเดียวกันนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองหัวหน้า คสช. ในฐานะหัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ ได้เป็นประธานการประชุมติดตามความคืบหน้าการปรับปรุงทำเนียบรัฐบาล โดยมี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมอย่างพร้อมเพรียง
พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวว่า การปรับปรุงอาคารต่างๆ ในทำเนียบรัฐบาลเพื่อใช้เป็นสถานที่รับรองนายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้น ไม่มีปัญหา จะเสร็จทันอย่างแน่นอน โดยตั้งเป้าให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 ก.ย. 2557 โดยความพร้อมต่างๆ ทั้งตึกไทยคู่ฟ้า และทั้งหมดจะต้องแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือน ส.ค.นี้ สำหรับห้องประชุม ครม.ชั้น 5 ตึกบัญชาการ 1 จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนนี้เช่นกัน เพื่อสามารถรองรับการประชุม ครม.ที่จะเกิดขึ้น
นอกจากนี้ ได้เตรียมสถานที่ที่จะทำพิธีรับสนองพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ไว้ที่ทำเนียบรัฐบาลด้วย
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความพร้อมในส่วนของทำเนียบรัฐบาลว่า จากรายงานครั้งสุดท้ายงานทุกอย่างเป็นไปตามกรอบเวลา เมื่อมีการโปรดเกล้าฯ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ก็ต้องเป็นไปตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) กำหนดไว้ ซึ่งขณะนี้สถานที่ ห้องทำงานนายกรัฐมนตรี และความพร้อมทุกอย่างเป็นไปตามกรอบเวลา ซึ่งทาง สลน.เป็นผู้รับผิดชอบ
เมื่อถามย้ำว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่คนที่ 29 นี้ เมื่อเข้ามารับตำแหน่ง จะต้องเข้านั่งบริหารงานที่ตึกไทยคู่ฟ้าใช่หรือไม่ ม.ล.ปนัดดากล่าวว่า “ต้องเป็นเช่นนั้นครับ”
พล.อ.สกล ชื่นตระกูล ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า คสช. กล่าวว่า ในส่วนความพร้อมของห้องทำงานนายกรัฐมนตรี และตึกไทยคู่ฟ้า ขณะนี้มีความพร้อมแล้ว มีการซักพรม ผ้าม่าน การทำความสะอาด และซ่อมแซมโต๊ะเก้าอี้ เพื่อรองรับการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว
ส่วนที่มีข่าวว่า ยังไม่มีการจัดวางโต๊ะ เก้าอี้ ของนายกรัฐมนตรี เพราะต้องรอให้ชินแสมาดูฮวงจุ้ยก่อนนั้น ไม่เป็นความจริง การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ก็เป็นไปตามความเหมาะสม และสะดวกต่อการปฏิบัติงานเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่จะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่
ทั้งนี้ รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า ในส่วนการเตรียมพร้อมสถานที่เพื่อรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ นายกรัฐมนตรี คนที่ 29 นั้น ในส่วนของกองการสถานที่ทำเนียบรัฐบาล ก็พยายามที่จะเร่งปรับปรุง และเตรียมความพร้อม ซึ่งหากจะมีการใช้สถานที่ของทำเนียบรัฐบาลเป็นที่รับสนองพระบรมราชโองการฯ จริง ก็คาดว่าจะใช้ห้องสีงาช้าง ภายในตึกไทยคู่ฟ้า หรือห้องสีเหลือง ที่ตึกสันติไมตรี แต่ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาจากคณะทำงานของนายกรัฐมนตรีคนใหม่
