ผ่าประเด็นร้อน
เรียกว่าเรียบร้อยไม่มีการพลิกโผกันในนาทีสุดท้าย ทุกอย่างยังมั่นคงแข็งแรงไร้ปัญหาสำหรับการเคาะตำแหน่ง “ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” (ผบ.ตร.) คนใหม่ ที่เสนอชงขึ้นมาให้คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาคสามสงบแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ก.ต.ช.เห็นชอบให้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (อาวุโสอันดับสาม) ขึ้นมาดำรงตำแหน่งดังกล่าว
หากไม่พิจารณากันถึงเรื่องประเด็นความเหมาะสม ก็ต้องบอกว่านี่คือการรุกคืบเข้าไปอีกขึ้นเพื่อกุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ แน่นอนว่าย่อมมีผลต่อการบริหารราชการแผ่นดินในภาพใหญ่ภายหน้า หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช.ต้องนั่งควบเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ซึ่งหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ก็จะโหวตเห็นชอบกันในวันนี้ (21 สิงหาคม)
อย่างไรก็ดี แม้ว่าหลังจากวันที่ 30 กันยายนไปแล้ว เขาจะต้องเกษียณอายุราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกอันทรงอำนาจที่สุด แต่ก็ได้มีการเส้นทางเชื่อมต่อเอาไว้เรียบร้อยแล้ว โดยคาดหมายว่าคนที่มาแทนที่ก็คือ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ที่เวลานี้เป็นรองผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งตามแบ็กกราวนด์ก็เป็น “บูรพาพยัคฆ์” คนล่าสุดที่ก้าวเข้ามา แม้ว่านาทีนี้ยังมีลุ้นว่า พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วยผู้บัญชาทหารบกจะมาเบียดชิงดำ แต่ล่าสุดกระแสน่าจะเบนเข็มไปทางนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีในกระทรวงสำคัญมากกว่า
ความหมายก็คือแม้อาจมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ขาลอย” เมื่อต้องพ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก แต่เมื่อมีการวางฐานเอาไว้อย่างมั่นคงดังกล่าวแล้ว การนั่งในตำแหน่งหัวหน้า คสช.และตามข่าวยังควบเก้าอี้นายกรัฐมนตรีก็ถือว่ามีอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือ ไม่น่ากังวล
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากเครือข่ายที่วางไว้ทุกจุดทั้งโดยตรงและโดยอ้อมผ่านทาง “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ “พี่รอง” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่มีการแชร์อำนาจกันอย่างลงตัว แยกกันไปควบคุมดูแลอย่างทั่วถึง
ล่าสุดอย่างที่เห็นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เพิ่งไฟเขียวผลักดัน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ขึ้นมานั่งเก้าอี้ผู้บัญชาการสูงสุดในอำนาจ “สีกากี” ได้อย่างสะดวก ซึ่งจะเรียกว่าอยู่ในเครือข่ายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผ่านการสกรีนจาก “น้องชาย” คือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ นั่นเอง แม้ว่าตามกลไกจะถือว่าไม่ว่าใครก้าวขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ต้องทำตามคำสั่งอยู่แล้ว แต่การได้คนกันเองไว้ใจได้ก็ย่อมเป็นเรื่องที่น่าชื่นใจกว่า และนี่ก็คือการรุกคืบเข้ามาได้อย่างนิ่มๆ
แน่นอนว่าเมื่อองค์ประกอบด้านกลไกตบเท้าเข้ามาอย่างพร้อมสรรพ ทั้งทหารและตำรวจทำให้นั่งเก้าอี้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติควบเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สำหรับทำภารกิจใหญ่ในภายหน้าภายใต้ระยะเวลาจำกัดอย่างน้อยก็หนึ่งปี ให้สำเร็จหรือเข้าใกล้เป้าหมายได้มากที่สุด เพราะรับรู้กันดีว่าในสถานการณ์ “พิเศษ” แบบนี้มันย่อมต้องมีแรงกดดันเข้ามาทุกทาง เหมือนอย่างที่ ทักษิณ ชินวัตร ได้ประเมินและดักซุ่มรออยู่ ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เสียด้วย ดังนั้นเมื่อรับรู้สถานการณ์ข้างหน้าจึงต้องควบคุมเอาไว้ในมือทุกด้าน เพื่อประกันความเสี่ยง
แต่ขณะเดียวกัน ในมุมกลับกันการคุมเบ็ดเสร็จแบบนี้มันต้องสำเร็จตามที่สังคมคาดหวังเอาไว้ให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ หรือออกนอกลู่นอกทางมันก็โดนเละแน่
อย่างไรก็ดี เพื่อให้ก้าวไปถึงเป้าหมายการสร้างภาพลักษณ์ ต้องสร้างบรรยากาศส่งเสริมการลงทุนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมพร้อมๆกันไปด้วย นั่นคือต้องลดความเคร่งเครียดลงไปด้วย ซึ่งเวลานี้ยังเหลืออยู่ที่ “ประกาศกฎอัยการศึก” ทั่วประเทศยังมีผลบังคับใช้อยู่ แม้ภายในประเทศอาจจะรู้สึกชินและไม่รู้สึกกระทบมากเกินไป แต่สำหรับภายนอกถือว่ามีผลทางจิตวิทยาแน่นอน โดยเฉพาะการลงทุนและการท่องเที่ยว หากต้องเดินทางเข้ามาในประเทศที่มีประกาศดังกล่าวหลายคนอาจต้องคิดหนัก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงยิ่งว่าหลังจากมีการประกาศแต่งตั้งนายกฯมีรัฐบาลเรียบร้อยแล้วจะมีการยกเลิกกฎอัยการศึกตามมา
เหตุผลหนึ่งนอกจากสร้างภาพลักษณ์ในทางบวกกับต่างชาติ ตัวนายกรัฐมนตรีต้องเดินทางไปต่างประเทศไม่ต้องถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ให้กระอักกระอ่วน แต่ที่สำคัญที่สุดนั่นคือ “คุมเกม” ได้หมดแล้ว จนเกิดความมั่นใจ มั่นใจเพราะมีการวางกำลังเอาไว้ทั้งในกองทัพและในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มั่นใจว่าไม่แตกแถวแน่นอน!!