ผ่าประเด็นร้อน
สำหรับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นาทีนี้ถือว่าอยู่ในช่วง ทุกข์สุขสลับกันไปแบบตั้งตัวไม่ทัน ถ้าเอาเฉพาะเรื่องราวที่เพิ่งผ่านตากันไปไม่นาน แบบสดๆ ร้อนๆ กันเลยก็ว่าได้ เริ่มจากเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา กรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเป็นเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 ชี้มูลความผิดในความผิดอาญาตามมาตรา 157 และมาตรา 123/1 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2542 ในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งหลังจากนี้สำนวนจาก ป.ป.ช.ก็จะไปถึงสำนักงานอัยการสูงสุด จากนั้นหากไม่มีปัญหาโต้แย้งอะไรก็จะส่งเรื่องฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป
แม้ว่าตามขั้นตอนเวลายังอยู่อีกไกล แต่ถ้าดำเนินการไปตามปกติไม่มีอะไรมาแทรกแซงให้ติดขัดมันไม่นานเกินรอ อาจเพียงแค่ปีเท่านั้น ไม่ใช่หลายปี อย่างไรก็ดี มันก็เป็นเรื่องใหญ่เพราะเป็นคดีอาญา มีสิทธิ์เข้าคุกได้เหมือนกัน นี่ว่ากันเฉพาะ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คนเดียวก่อน เพราะในคดีเดียวกันนี้ยังนักการเมืองและนักธุรกิจภาคเอกชนในเครือข่ายของเธอติดไปด้วยหลายคน ขณะเดียวกันมันน่าหวาดเสียวตรงที่ มติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 นี่สิมันเพิ่มน้ำหนักให้ส่งฟ้องแบบไม่ลังเลได้ไม่น้อย
ก่อนหน้านั้น ป.ป.ช.ก็มีมติชี้มูลในเรื่องเดียวกันฐานปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโดยไม่ยับยั้ง ซึ่ง ป.ป.ช.ส่งเรื่องให้วุฒิสภาถอดถอนไปแล้ว แต่บังเอิญว่าเกิดคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขึ้นมาเสียก่อน ทำให้ต้องมาลุ้นกันว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่กำลังจะตั้งขึ้นมาใหม่ทำหน้าที่รัฐสภา คือเป็นทั้งสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา จะสานต่อนำมาพิจารณาถอดถอนหรือไม่ เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวฉบับปี 57 ไม่ได้รองรับเอาไว้ แต่ถ้าดำเนินการต่อแล้วเกิดมีมติถอดถอนออกมาก็จะทำให้เธอเสียประวัติขาดคุณสมบัติในการเข้าสู่การเมืองตลอดชีวิต เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา 35 ได้วางกรอบกำหนดในรัฐธรรมนูญฉบับถาวรว่าห้ามคนที่เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับเรื่องทุจริตรวมทั้งการทุจริตเกี่ยวกับการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ดี เธอก็ได้รับอนุญาต พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้เดินทางออกนอกประเทศได้ แต่มีเงื่อนไขให้กลับเข้ามาภายในวันที่ 10 สิงหาคม ซึ่งตามข่าวยิ่งลักษณ์เดินทางพร้อมครอบครัวไปร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดครบรอบ 65 ปี พี่ชายคือ ทักษิณ ชินวัตร มีรูปถ่ายปรากฏออกมายืนยัน แสดงให้เห็นถึงความสุขในลักษณะลืมความทุกข์ชั่วคราวก็ได้ เพราะหลังจากนั้นเธอและบุตรชายและคนใกล้ชิดเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนที่อังกฤษและสหรัฐอเมริกาเป็นลำดับถัดไป ก่อนกลับไปตามกำหนดในเงื่อนไขกันเอาไว้
แต่ก็นั่นแหละล่าสุดก็มีข่าวร้ายประดังเข้ามาอีก นั่นคือข่าวอนุกรรมการการสืบสวนสอบสวนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ชี้มูลความผิดเบื้องต้นต่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และรัฐมนตรีในรัฐบาลของเธอรวมทั้งหมด 8 คน ฐานฝ่าฝืนกฎหมาย ใช้ตำแหน่งหน้าที่หาเสียงโดยมิชอบ เอื้อประโยชน์ต่อตัวเองและผู้สมัครของพรรคให้ได้รับเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 (ทัวร์นกขมิ้นในภาคเหนือและอีสาน)
ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการฯดังกล่าวมีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาต่อยิ่งลักษณ์กับพวกตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎกาคมที่ผ่านมา และตามขั้นตอนต้องมีการเปิดทางให้ผู้ถูกกล่าวได้ชี้แจงมีสิทธิ์ยื้อได้พักใหญ่ ยังใช้เวลาอีกนานพอสมควรกว่าสรุปออกมา
สำหรับรัฐมนตรีขณะนั้น ประกอบด้วย ปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม สันติ พร้อมพัฒน์ รมว.พัฒนาสังคม เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.มหาดไทย ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.พัฒนาสังคมฯ วิสาร เตชะธีราวัฒน์ รมช.มหาดไทย และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น ฐานกระทำการเข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 181 (4) ประกอบ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. 2550
แม้ว่าถึงอย่างไรยังต้องใช้เวลาในการชี้ขาด หรือเดินไปถึงศาล แต่นั่นแหละมันก็เป็นชนักปักหลังเอาไว้ ทำอะไรไม่ได้เต็มร้อย ขณะเดียวกันก็ต้องพิจารณาจากมติของ กกต.ด้วยว่าออกมาแบบบวกหรือลบด้วยระแนนเสียงเท่าไหร่ หากโชคร้ายออกมาในทางลบก็ต้องถือว่าเป็นข่าวร้ายที่ประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อน และแต่ละคดีหนักหนาสาหัสทั้งนั้น เสี่ยงคุกและจบอนาคตทางการเมืองแบบตลอดชีวิตเสียด้วย
หากแยกมาพิจารณาเฉพาะที่เกี่ยวกับอนาคตทางการเมืองก่อน ก็ต้องเริ่มจากลุ้นให้ สนช.ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้าไม่นำเรื่องถอดถอนตามมติ ป.ป.ช.ออกมาพิจารณาต่อ เพราะหากเดินหน้าแล้วลงมติให้ถอดถอน นั่นก็หมายความว่าขาดคุณสมบัติในการลงสมัครรับเลือกตั้งและห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะมีกรอบข้อกำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ห้ามคนที่เคยต้องคำพิพากษาหรือมีความผิดเกี่ยวกับเรื่องทุจริต และทำผิดทุจริตเกี่ยวกับการเลือกตั้งเข้าสู่สนามตลอดชีวิต เรียกว่าห้ามขาดเลย และหากมีเรื่องที่ กกต.อย่างที่ว่าประดังเข้ามาอีก ต้องบอกว่าทุกข์ซ้ำกรรมซัดจริงๆ!!