xs
xsm
sm
md
lg

มะกันพบ คสช.หนุนลงทุนพลังงาน-ค้าอาวุธ การทูตเอาแต่ได้!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

การเข้าพบรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ที่กองบัญชาการทหารอากาศ ของ เอกอัครราขทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย คริสตี เคนนีย์ เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน ทำให้ได้เห็นความน่าเกลียดของประเทศนี้มากขึ้นทุกที ทำให้เห็นธาตุแท้มากขึ้นว่ามันไม่น่าคบเป็นเพื่อนได้เลย เพราะถือว่าไม่มีความจริงใจ พึ่งพาอะไรไม่ได้ นอกเสียจากซ้ำเติม กระทืบซ้ำ เมื่อคนอื่นตกทุกข์ได้ยาก

เนื้อหาสาระที่มีการสนทนากันได้รับการเปิดเผยออกมาจากปากของ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง เองว่ามีการสนทนากันถึงเรื่องการลงทุนด้านพลังงาน การดูแลธุรกิจผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาในประเทศไทย โดยสหรัฐฯ ยืนยันความสัมพันธ์กับไทย พร้อมทั้งสนับสนุนให้ไทย โดยเฉพาะกองทัพอากาศได้ปรับปรุงอากาศยาน ปรับปรุง (อัปเกรด) เครื่องบินขับไล่ เอฟ 16 ให้มีความทันสมัยมากขึ้น

ท่าทีดังกล่าวถือว่าเป็นไปแบบตรงกันข้ามแบบสิ้นเชิง จากเดิมที่เคยรังเกียจ มีการแถลงการณ์จากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ จากรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม สหรัฐฯ ประนามไทยหลังเกิดการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม จนกระทั่งถึงขั้นประกาศลดระดับความสัมพันธ์กับไทย มีการตัดความช่วยเหลือทางทหาร ขู่ว่าจะมีการทบทวนการฝึกคอบร้าโกลด์ ที่เคยร่วมกันมานานหลายสิบปี

แต่พฤติกรรมอันน่ารังเกียจที่สุดก็คือ ในระหว่างจัดงานเลี้ยงฉลองวันชาติสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 4 กฤกฎาคมที่ผ่านมา มีการเชิญอดีตรัฐมนตรีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตัวแทนพรรคเพื่อไทย และเลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ ถึงกับเชิญแกนนำคนเสื้อแดงที่มีพฤติกรรมป่วนเมืองไปร่วมงานเลี้ยงดังกล่าว ซึ่งภายในงานยังมีการแสดงเชิงสัญลักษณ์ต่อต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติอีกด้วย ขณะที่ภายนอกสถานทูตสหรัฐฯ ก็ยังมีชุมนุมของมวลชนคนเสื้อแดง ในลักษณะแบบเดียวกันด้วย

โดยงานสำคัญครั้งนี้ไม่ได้เชิญบรรดาผู้นำของ คสช.ไปร่วมแต่อย่างใด ท่าทีและพฤติกรรมแบบนี้ ไม่ต่างจากการหยามเหยียดเจ้าของบ้านไม่มีผิด แม้ว่ามีที่มาแบบไม่ใช่ตามครรลองปกติ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องถือว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์ มีอำนาจเต็ม แม้ว่าคัดค้าน ไม่สนับสนุน แต่การแสดงออกต้องมีมารยาทกว่านี้

ที่สำคัญต้องไม่ไปเลือกข้างสนับสนุนรัฐบาลที่ทุจริต คอร์รัปชัน และมีมวลชนติดอาวุธ ก่อการร้าย ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง นั่นไม่ต่างจากข้อกล่าวหาที่ว่าสหรัฐอเมริกาสนับสนุนโจร

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากความเป็นจริง ก็คือในยุคของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในเครือข่ายของ ทักษิณ ชินวัตร ล้วนเกี่ยวโยงกับผลประโยชน์กันในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจพลังงานข้ามชาติ รวมไปถึงความมั่นคง ที่ใช้ไทยเป็นฐานทางด้านยุทธศาสตร์ความมั่นคงในแปซิฟิก ในทะเลจีนใต้ ในภูมิภาคเอเชีย ที่ไทยอยู่ในจุดยุทธศาตร์สำคัญ ที่เห็นชัดเจนก็คือ มีการอนุญาตให้ใช้สนามบินอูตะเภา

นั่นเป็นพฤติกรรมอันน่ารังเกียจก่อนหน้านี้ของสหรัฐฯ ที่มีต่อไทย หลังจากมีการรัฐประหารขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และระบอบทักษิณ ให้พ้นไป โดยสหรัฐฯ เป็นหัวหอกในการต่อต้านไทย มีการชักชวนให้สหภาพยุโรป (อียู) ออสเตรเลีย แคนาดา รวมหัวกันคว่ำบาตรไทย

อย่างไรก็ดี ในภาวะที่ดุลอำนาจของโลกมันเปลี่ยนไป สหรัฐฯ และยุโรปไม่ได้เป็นผู้กำหนดชะตาโลกได้แบบผูกขาดอีกต่อไปแล้ว ทำให้ไทยมีตัวเลือกถ่วงดุลได้มากกว่าเดิม เพราะยังมี จีน รัสเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ รวมทั้งเพื่อนบ้านในอาเซียน ที่ยังเห็นไทยเป็นตลาดการค้า เป็นหุ้นส่วนซึ่งกันและกัน ได้ฉวยโอกาสเข้ามากระชับความสัมพันธ์แทนที่ แน่นอนว่าไม่แคร์อยู่แล้ว

ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปไม่ได้เป็นไปตามที่สหรัฐฯได้คาดหมายเอาไว้หรือเปล่าไม่อาจคาดเดาได้ แต่จากการเข้าหารือกับรองหัวหน้า คสช.หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง โดยเปลี่ยนท่าทีใหม่ แบบหวานเจี๊ยบ ของทูตสหรัฐฯคนนี้ ที่เปิดเผยตัวตนออกมาให้เห็นจนล่อนจ้อนแล้ว ไม่ต่างจากการกลับลำแบบแบบ 360 องศา

ทางหนึ่งเป็นเพราะยังกดดันแบบนี้ต่อไปก็ไม่ทางได้ผล เพราะไทยยังมีตัวเลือกมากมาย มีหลายประเทศคู่ค้า เป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจต่อคิวเข้ามาแทนที่ยาวเหยียด และที่สำคัญไทยเราไม่ได้มีท่าทีตอบโต้ในลักษณะแข็งกร้าวเปิดเผย ทำนองว่าไม่อยากคบก็ไม่เป็นไร มีคนอื่นต้องการสอดแทรกเข้ามามากมาย

ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากเส้นทางอำนาจของระบอบทักษิณ ก็คงมีการประเมินภายหลังแล้วว่า คงต้องสะดุดไปอีกสักพักอย่างน้อยก็นานเป็นปี ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนได้รับสัญญาณใหม่เข้ามาแล้วว่า ธุรกิจด้านพลังงาน จะเกิดผลกระทบ ยังสามารถเดินหน้าได้ต่อไป หลังจากมีการยืนยัน “ข้อมูลใหม่” ในเรื่องการปฏิรูปพลังงานแล้วก็ได้

อีกทั้งการกลับเปลี่ยนแปลงท่าทีแบบนี้ มีแต่ผลบวก อย่างน้อยก็ในเรื่องธุรกิจค้าอาวุธ ที่ถึงอย่างไรไทยก็ยังเป็นลูกค้าสำคัญที่ยังต้องใช้อาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐฯมานาน และยังจำเป็นต้องใช้ต่อไป ทั้งในเรื่องของอาวุธรุ่นใหม่ หรือแม้แต่อะไหล่การซ่อมบำรุง รวมทั้งความจำเป็นในการใช้ไทยเป็นฐานทางยุธศาสตร์ในภูมิภาค นี่ก็คือเหตุผลสำคัญ

ดังนั้นการเข้าพบหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจของ คสช. พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ของเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ในครั้งนี้หากมองกันแบบรู้ทันเล่ห์เหลี่ยม มันก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เป็นเรื่องที่กลัวเสียผลประโยชน์ เนื่องจากไม่อาจให้อยู่ในความควบคุมได้ ขณะที่ไทยก็ไม่ได้มีท่าทีเป็นศัตรู ตรงกันข้ามยังอ่อนข้อ และยอมทำตามเงื่อนไขที่ต้องการ ซึ่งไม่แน่ว่าในอนาคต อาจจะไม่ต่างจากในยุครัฐบาลเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร ก็เป็นได้ ไม่เชื่อลองจับตาการให้สัมปทานพลังงานรอบใหม่ให้ดีก็แล้วกัน ว่าใช่หรือเปล่า

แต่นาทีนี้เห็นแล้วว่า การทูตของสหรัฐอเมริกานี่มันน่าเกลียด คบเป็นเพื่อนไม่ได้จริงๆ!!
กำลังโหลดความคิดเห็น