ผ่าประเด็นร้อน
ก่อนอื่นก็ต้องกล่าวตามความเป็นจริงเสียก่อนว่า หากสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ลดระดับความสัมพันธ์ หรือถึงขั้นเลวร้ายคือคว่ำบาตรประเทศไทยจริงๆ จะมีผลกระทบต่อเรามากแค่ไหน ก็ต้องบอกว่า “มาก” แต่ก็ไม่ถึงกับต้องตาย และในความเป็นจริงก็ไม่มีทางตายอย่างเด็ดขาด
เพราะด้วยศักยภาพของไทย ทั้งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่มีความสำคัญเป็นจุดศูนย์กลางในภูมิภาค ประเทศไหนก็ตามที่จะเข้ามาค้าขายลงทุน หรือจะมารบกับใครก็ต้องผ่านไทย รวมทั้งต้องมาทำความรู้จักเสียก่อน ขณะเดียวกัน ด้วยศักยภาพส่วนตัวของไทยที่มีทรัพยากรพร้อมทุกอย่างในทุกด้าน โดยเฉพาะในด้านอาหารเราสามารถผลิตเลี้ยงตัวเองและยังส่งออกไปเลี้ยงชาวโลกได้
อย่างไรก็ดี หากสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศในสภาพยุโรปรวมหัวกันบอยคอตไทย โดยยกเอาเหตุผลจากการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กดดันให้มีการเลือกตั้งภายใน 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งเวลานี้ก็ได้ลดระดับความสัมพันธ์กับไทยแล้ว เช่นในรูปของเงินช่วยเหลือ หรือการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ รวมไปถึงการห้ามบุคคลสำคัญของ คสช.เข้าประเทศ
แม้ว่าในเรื่องการตัดเงินช่วยเหลือ การฝึกอบรมจะเป็นจำนวนเงินแค่จิ๊บจ๊อย กระจอกมาก แต่ก็ต้องถือว่าสร้างความกดดันให้กับเราไม่น้อยเหมือนกัน เปรียบเหมือนกับตัวเรา แล้วมีเพื่อนบ้านบางบ้าน แม้จะอยู่ไกลออกไปประกาศไม่อยากคบกับเรา มาชี้หน้าว่าเรานิสัยไม่ดี แม้ไม่อยากสนใจ แต่อย่างน้อยมันก็รู้สึกหงุดหงิดเหมือนกัน
สำหรับมูลค่าการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ และยุโรป รวมไปถึงการที่นักลงทุนของประเทศดังกล่าวมาลงทุนในบ้านเราในปัจจุบันถือว่ามีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับประเทศในแถบเอเชีย และกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกัน เมื่อเทียบกับญี่ปุ่น จีน เกาหลี ไต้หวัน หรือแม้แต่อินเดีย ประเทศเหล่านี้กำลังมาแรง บางประเทศมาปักหลักลงทุนในไทยนานแล้ว อย่างเช่นญี่ปุ่น ที่ค่อนข้างแฮปปี้กับคนไทยมานาน ไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องการลงทุน ไม่เคยมีปัญหาประวัติศาสตร์ให้คาใจ แม้ว่าจะเข้ามายึดครองไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้สร้างรอยแผลมากนัก
แต่ในฐานะที่ สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ยังเป็นมหาอำนาจ แม้ในความเป็นจริงจะค่อยๆ ลดความสำคัญลงไปเรื่อยๆ แล้วก็ตาม แต่ก็ยังถือว่ามีเสียงดังอยู่ ดังนั้นถ้าถามว่าถ้าประเทศเหล่านี้ไม่คบไทยเราจะตายมั้ย ก็ต้องย้ำว่าไม่ตายหรอก เพียงแต่รู้สึกหงุดหงิดและถูกกดดันบ้างเท่านั้นเอง
เพราะในสภาพความเป็นจริงแล้วในโลกยุคปัจจุบัน “ดุลอำนาจ” เริ่มเปลี่ยนไปมากขึ้น กลายเป็นว่ามีมหาอำนาจเกิดใหม่ขึ้นมาถ่วงดุล ที่เห็นชัดเจนก็มีจีน รวมถึงรัสเซียที่กลับมาเข้มแข็งอีกครั้งหลังจากหมดยุคสหภาพโชเวียต ในด้านเศรษฐกิจก็มีกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่มากมาย เช่น บราซิล อินเดีย แอฟริกาใต้ เป็นต้น หรือแม้แต่กลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งในกลุ่มนี้ถือว่าไทยเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสอง ถือว่าใช่ย่อยเสียที่ไหน
ด้วยศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเองของไทยที่มีอยู่ค่อนข้างพร้อม ทำให้เราสามารถยืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเองได้พอสมควร และคำพูดของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่บอกว่าเราเคารพในการตัดสินใจของประเทศเหล่านั้น แต่เราย่อมมีศักดิ์ศรีของเราด้วย ความหมายก็คือ ไม่เป็นไร จะเอาแบบนั้นก็เอา แต่เราก็มีแนวทางของเรา ไม่ว่ากัน คือไม่แข็งกร้าวใส่ ไม่โวยวาย ไม่เต็มใจคบก็ไม่เป็นไร ประมาณนั้น
แต่ที่น่าจับตาก็คือ ในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ และอียูประกาศลดระดับความสัมพันธ์กับไทย ปรากฏว่ามีเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เข้าพบรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และเป็นหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง โดยทูตจีนย้ำให้เห็นถึงศักยภาพของไทยในภูมิภาคว่ามีความสำคัญและจีนพร้อมขยายการลงทุนกับไทย เพิ่มการค้าขายให้มากขึ้นกว่าเดิม และยังชี้ให้เห็นว่าหลังจาก คสช.เข้ามาทำให้การค้าระหว่างสองประเทศเติบโตอย่างมาก หลังจากก่อนหน้านี้ได้สะดุดลง
ความหมายก็คือ ในยุคของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ความสัมพันธ์ในทางลึกอาจไม่ราบรื่นนัก
ก็เห็นจะจริงหากพิจารณาจากความเป็นในช่วงระยะหลังๆ ของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เราแทบไม่ได้เห็นการเคลื่อนไหวของ ทักษิณ ชินวัตร ในประเทศจีนเลย ส่วนมากจะหลบอยู่แถวดูไบ สหรัฐฯ และประเทศในยุโรป หรือแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนเท่านั้น รวมทั้งหากสังเกตให้ดีจะพบว่า ข่าวคราวเรื่องธุรกิจสัมปทานพลังงานก็มักมีข่าวร่วมมือกับบริษัทพลังงานของทางตะวันตก ไม่ใช่จีน หรือแม้แต่การอนุญาตให้สหรัฐฯ ใช้สนามบินอู่ตะเภา นี่ก็สามารถเชื่อมโยงกันได้
ดังนั้น ความหมายของการเข้าพบของทูตจีน แม้ไม่มีการอธิบายมากกว่านี้ แต่ในทางนักเลงก็ย่อมเข้าใจกันดีว่า นี่คือการฉวยจังหวะเข้าเสียบแทนอย่างทันท่วงที อีกทั้งวันรุ่งขึ้นยังมีทูตเกาหลีใต้มีกำหนดเข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง เพิ่มเติมอีก ก่อนหน้านี้ยังไม่นับทางประเทศญี่ปุ่นที่เตรียมการต้อนรับคณะตัวแทนฝ่ายไทยจะไปเยือนในเดือนกรกฎาคมอีกด้วย เห็นแบบนี้แล้ว หากสหรัฐฯ และอีกยูยังรังเกียจไทยก็เชิญ
ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พอเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่าง ล่าสุดทางกองทัพสหรัฐฯ ก็ส่งหนังสือยืนยันมาทันทีว่าไม่ยกเลิกการฝึกคอบร้าโกลด์ ตามที่มีข่าวว่าจะย้ายไปฝึกกันที่เมืองดาร์วิน ออสเตรเลีย โดยจะเข้ามาสำรวจภูมิประเทศในเดือนหน้า นี่ก็ชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร ที่ผ่านมาอาจเป็นแค่หยั่งท่าทีเพื่อลองกดดันไทย
แต่ในเมื่อเราไม่ได้จนตรอก ยังมีทางออก อีกทั้งเราก็ไม่ได้กระทำการป่าเถื่อนเที่ยวฆ่าชาวต่างชาติ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม หรือดีกว่าเดิมก็ได้ ทำให้พวกเขาเปลี่ยนท่าทีเนื่องจากเกรงว่าจะเสียโอกาสก็ได้!!