สะเก็ดไฟ
ร่วงกราวไปตามๆ กันสำหรับบรรดา “ขี้ข้าแม้ว” ทั้งหลายที่เคยได้เชิดหน้าชูตานั่งตำแหน่งบิ๊กเบิ้มตามรัฐวิสาหกิจต่างๆ ในสมัยที่ “นายใหญ่” เรืองอำนาจ
เมื่ออำนาจผลัดมือ ก็เป็นธรรมดาที่ต้องมีการถ่ายเลือด โดยเฉพาะตำแหน่ง “กรรมการ” หรือ “บอร์ด” ต่างๆ ที่เข้ามาเพราะการเมือง มีทั้งประเภทสมัครใจลาออกเองตามมารยาท แล้วก็พวกหน้าด้านหน้าทนที่ต้องรอให้มีเสียงกริ๊งกร๊างต่อ “สายตรง” ไปแงะออกจากเก้าอี้
ล่าสุดเป็นคิวของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ดินแดนสนธยาที่เต็มไปด้วยตำนานแห่งผลประโยชน์ การเมือง และมาเฟีย เมื่อบรรดา “บอร์ด” ขุมข่ายของ “ระบอบทักษิณ” นัดไขก๊อกพร้อมกัน 4 ราย
ไล่ตั้งแต่ “สุธรรม แสงประทุม” ประธานบอร์ด พร้อมด้วย “จักรพันธุ์ ยมจินดา-ธงทอง จันทรางศุ-กฤษณะ ผลอนันต์”
ในวาระเดียวกันก็ได้มีมติแต่งตั้งให้ “กมลาสิริ อิศรางกูร ณ อยุธยา” เป็นรักษาการประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอของ อสมท
การลาออกของบอร์ดต่างๆ ถือว่าไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์แต่อย่างใด เพราะตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาควบคุมอำนาจบริหารก็มีเสียงเรียกร้องให้บอร์ดแต่ละที่พิจารณาตัวเอง และแม้แต่ “พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง” รองหัวหน้า คสช.ก็ยังประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานบอร์ดการบินไทย
ด้านท่าทีของ “สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ อสมท” ที่กลุ่มหนึ่งเห็นด้วยกับการลาออกจากตำแหน่งของบอร์ด โดยสนับสนุนให้ คสช.ล้างบางขั้วอำนาจเก่า และต้องการให้บอร์ดลาออกทั้งคณะ
แต่กลับมีบางส่วนที่แสดงตัวว่าไม่เห็นด้วย จนเกิด “เสียงแตก” และแยกตัวออกมาตั้งกลุ่ม “ประชาคม อสมท” ประกาศจะเข้ายื่นข้อเรียกร้องถึงหัวหน้า คสช.ด้วย
การเกิด “ประชาคม อสมท” ขึ้นดูจะ “ไม่เป็นธรรมชาติ” เท่าที่ควร เพราะที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวของสหภาพฯ อสมท ค่อนข้างเป็นเอกภาพ
เมื่อตรวจสอบลงลึกไปก็พบว่า การออกมาเย้วๆ ของกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า “ประชาคม อสมท” หนนี้มี “มาเฟียขาใหญ่” อยู่เบื้องหลัง เพราะเกรงว่าการตั้ง “กมลาสิริ” รักษาการซีอีโอเข้ามาในห้วงเวลาที่บอร์ดขุมข่ายระบอบทักษิณไขก๊อกไปนั้นจะเป็นการเปิดช่องให้ขุดคุ้ยเรื่องคาวฉาวโฉ่ที่หมกเม็ดกันอยู่
หากมีการสาวไส้ตอนนี้ก็ขาดแบ็กอัพที่จะมากางปีกปกป้องเหมือนที่ผ่านมา เพราะขยะใต้พรมที่ “มาเฟียขาใหญ่” และเครือข่ายทำไว้มีมากมายเกินจะสาธยาย ไล่ตั้งแต่ระดับเบี้ยใบ้รายทางกับการเรียกรับ “ใต้โต๊ะ” ในการจัดผังรายการใหม่ของช่อง 9 อสมท จากบรรดาผู้ผลิตรายการ โดยเรียกเก็บในอัตรา 1 ล้านบาท สำหรับรายการที่ออกอากาศช่วงไพร์มไทม์ และ 2 แสนบาทสำหรับรายการในช่วงเวลาปกติ โดยให้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาอโศก ชื่อบัญชี “น.ส.รัตนา” ที่ใช้มาเป็นนอมินีในการเรียกเก็บแปะเจี๊ยะครั้งนี้ หรือระดับใหญ่โตที่เข้าไป “ล้วงลูก” แทรกแซงระบบการซื้อขายโฆษณาของ “FM 95 ลูกทุ่งมหานคร” ที่ออกอากาศทางสภานีวิทยุ อสมท
“ลูกทุ่งเอฟเอ็ม” ถือเป็นคลื่นที่ได้รับความนิยมอย่างสูง มีผู้ฟังอันดับหนึ่งของประเทศ เป็นที่มาของความนิยมทั้งสินค้าบริการหรือเอเยนซี่โฆษณาที่ต้องการเข้ามายิงสปอตโฆษณาผ่านคลื่นแห่งนี้ แต่ปรากฏว่า “มาเฟียขาใหญ่” ได้ให้ “นอมินี” ตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อดำเนินกิจการคลื่นวิทยุลูกทุ่งเช่นเดียวกัน และวางเครือข่ายตัวเองไว้เป็น “ด่านหน้า” ในการขายช่วงเวลาของ อสมท เพื่อ “ตัดตอน” ผู้ที่เข้ามาติดต่อลงโฆษณา โยนไปให้อีกคลื่นหนึ่ง โดยอ้างว่า “ลูกทุ่งเอฟเอ็ม” โฆษณาเต็ม
ทำให้ยอดขายโฆษณาของอีกคลื่นหนึ่งทะยานขึ้นฟ้า ขณะที่ยอดโฆษณาของ “ลูกทุ่งเอฟเอ็ม” ร่วงจนติดดิน ส่งผลให้รายได้ของ อสมท หดหายไปมหาศาล
ที่ว่าไปเป็นเพียงตัวอย่างของสิ่งที่ “ขบวนการเหลือบไร” ที่ฝังตัวอยู่ใน อสมท ทำไว้ และสมควรต้องมีการสอบสวนโดยเร็วก่อนที่องค์กรแห่งนี้จะถึงคราวล่มสลาย
คำถามมีว่า “ประชาคม อสมท” ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนในองค์กรควรมีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ขององค์กรที่เปรียบเสมือนเป็นบ้านตัวเอง แต่กลับออกหน้ามาเป็น “เครื่องมือ” ในการปกป้อง “ขบวนการเหลือบไร” ให้กอบโกยผลประโยชน์ต่อไป
ดังนั้น สิ่งที่ “ชาว อสมท” ควรทำคือเรียกร้องให้ คสช.เข้ามาเก็บกวาด “ขยะ” ในบ้านของตัวเองมากกว่า