ทีมโฆษก คสช.เผยมีกลุ่มหาประโยชน์แรงงานต่างด้าว จนท.อาจมีเอี่ยว รู้ข้อมูลให้แจ้ง พร้อมเร่งกวาดล้างค้ามนุษย์ ลั่นห้ามลักลอบนำเข้าเพิ่ม แก้อย่างมีระบบ ตอก ฮิวแมนไรต์วอตช์ข้อมูลไม่ครบกล่าวหาทหาร ชี้ ปชช.หนุน ยัน ปชต.คงอยู่ ย้ำไม่ควรมีสูญเสีย เชื่อส่วนใหญ่เข้าใจเสียสละเสรีภาพ เหตุช่วงนี้ไม่สงบ ปัดนโยบายคืนความสุข คือโฆษณาชวนเชื่อ แจงทำตามความต้องการ ปชช.
วันนี้ (18 มิ.ย.) พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ในฐานะทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีปัญหาแรงงานต่างด้าวว่า ขณะนี้ได้รับข้อมูลว่ามีกลุ่มขบวนการที่คอยหาผลประโยชน์จากแรงงานต่างด้าวอยู่ที่อาจมีเจ้าหน้าที่เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย ดังนั้น คสช.จะเร่งดำเนินการเพื่อสืบสวนและกวาดล้างให้ได้โดยเร็ว โดยระหว่างการจัดระเบียบใหม่จะมีการผ่อนผันให้ แต่ในส่วนของสถานประกอบการเดิม ผู้ประกอบการก็ไม่ควรลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้ามาเพิ่มเติม ทั้งนี้ คสช.จะเร่งดำเนินการเพื่อขจัดขบวนการค้ามนุษย์ การใช้แรงงานทาสทั้งบนบกและทางน้ำในทะเล เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในประเทศ รวมถึงจะดูแลแรงงานไม่ให้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเด็ดขาด โดย คสช.จะแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบเนื่องจากเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีตและต่อเนื่องมายาวนานมีผลเสียต่อความเชื่อมั่นในต่างประเทศ และเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม อย่างไรก็ตาม หากมีเจ้าหน้าที่รัฐหรือบุคคลใดมาขอเรียกรับผลประโยชน์ ขอให้แจ้งข้อมูลให้ คสช.ทราบโดยทันทีเพื่อที่จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ส่วนกรณีข่าวนายจอห์น ซิฟตัน ผู้อำนวยการฮิวแมนไรต์วอตช์ ประจำเอเชีย ระบุว่าทหารเป็นภัยคุกคามต่อประเทศไทยและทำลายประชาธิปไตยนั้น พ.อ.วินธัยกล่าวว่า ความเห็นดังกล่าวอาจเป็นมุมมองหนึ่งจากภายนอกที่อาจยังได้รับข้อมูลไม่ครบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนของประชาชนต่อการเข้ามาแก้ปัญหาเร่งด่วนของประเทศซึ่งยืดเยื้อมานาน และเป็นที่รับรู้ทั่วกันว่าเดิมทุกอย่างติดขัดไม่สามารถหาทางออกได้ การดำเนินการของ คสช.ไม่อยากให้มองเป็นอันตรายหรือไปทำลายหลักการใดๆ ขอให้มองที่เหตุผลและความจำเป็น ยืนยันประชาธิปไตยยังคงอยู่ เป็นเพียงขอใช้เวลาส่วนหนึ่งในการจัดระเบียบเพื่อการพิทักษ์รักษาประชาธิปไตยไว้ให้เข้มแข็งมากขึ้น สำหรับเหตุผลมีหลายประการด้วยกัน เช่น เรื่องการแสดงออกในทางประชาธิปไตยไม่ควรพ่วงมาด้วยความรุนแรง หรือการสูญเสียของประชาชน ทำให้เห็นถึงความไม่ปลอดภัยของประชาชนในสังคมเมือง มองในด้านหลักสิทธิมนุษยชน จะหนึ่งคนหรือหนึ่งชีวิตก็ไม่เป็นการสมควรที่จะยอมให้มีผู้หนึ่งผู้ใดไปละเมิดได้
พ.อ.วินธัยกล่าวว่า สำหรับการควบคุมเสรีภาพการแสดงออกนั้น เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่ไม่ปกติ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจและพร้อมเสียสละ จะมีส่วนน้อยมากที่ไม่เข้าใจและไม่พร้อม เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนต่อความรู้สึก จึงอยากให้การแสดงออกใดๆ เป็นไปด้วยความระมัดระวัง หรือควรให้เป็นไปในลักษณะเชิงสร้างสรรค์ สอดคล้องแนวทางของส่วนรวมในอันจะสร้างความสงบสุขของสังคมและประเทศชาติน่าจะเหมาะสมกว่า
พ.อ.วินธัยกล่าวด้วยว่า ส่วนการดำเนินนโยบายคืนความสุขให้ประชาชนนั้นไม่ใช่การโฆษณาชวนเชื่ออย่างที่เข้าใจ ยืนยันเป็นไปตามความต้องการโดยธรรมชาติของประชาชนด้วย ที่อยากจะมาร่วมสร้างบรรยากาศแห่งความรักความสามัคคีกัน จากที่ในอดีตที่จะมารวมตัวกันก็ในเชิงขัดแย้งเกลียดชังกันในทางการเมือง จึงถือเป็นกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ที่จะจุดประกายสร้างการมีส่วนร่วมและสร้างความสามัคคีสมานฉันท์กันของคนในสังคมได้ ที่ผ่านมาได้รับผลสะท้อนออกมาในเชิงบวกชัดเจน ไม่ใช่เพียงแค่การโฆษณาชวนเชื่ออย่างที่เข้าใจแน่นอน