ทีมโฆษก คสช.ย้ำการทำหน้าที่สำนัก คกก.มีศูนย์ปรองดอง-ปฏิรูป รับแค่รวมข้อมูล สงบขึ้นมีผ่อนปรนเคอร์ฟิว ตัดสื่อสารกลุ่มต้าน เบาไปหนัก ยังไม่คุยงบ 58 เน้นเคลียร์งบ 57 มีโกงไม่ไว้หน้า ถกฝ่าย กม.ล่าพวกหมิ่นซุก ตปท. ไม่ตอบเข้าทางลี้ภัย ชี้ลดราคาพลังงาน ข่าวลือ สั่งเคลียร์ ตปท. คุมราคาสินค้า ปรับแต่ละหน่วยทำงานทิศทางเดียวกัน
วันนี้ (5 มิ.ย.) ที่ตึกสันติไมตรี ภายในทำเนียบรัฐบาล พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ในฐานะทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงขอบเขตการทำหน้าที่ของสำนักคณะกรรมการปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปที่ คสช.ตั้งขึ้นว่า มีลักษณะทำงาน 2 ส่วน คือ ในส่วนของศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป ที่จะจัดขึ้นในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ดำเนินการโดยฝ่ายปกครอง และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ซึ่งเบื้องต้นจะเน้นเรื่องการจัดกิจกรรม มีการแสดงดนตรี ตรวจสุขภาพ จัดเวทีพบปะในระดับหมู่บ้าน ตำบล จังหวัด ขณะที่อีกส่วนเป็นในเรื่องของคณะทำงานเตรียมการปฏิรูป ซึ่งในระยะแรก คสช.จะอยู่ในฐานะผู้อำนวยความสะดวก เพื่อสนับสนุนเปิดพื้นที่หรือเวทีให้แต่ละภาคส่วนได้พบปะพูดคุยกัน และจัดระเบียบความรู้สึกของคนในพื้นที่
“คสช.จะเป็นเพียงผู้รวบรวมข้อมูลทั้งหมด โดยไม่มีการประมวลผล หรือสรุป แต่จะนำข้อมูลส่งต่อให้สภาปฏิรูปซึ่งอยู่ในการปฏิบัติระยะที่ 2” พ.อ.วินธัยระบุ
พ.อ.วินธัยกล่าวอีกว่า ในส่วนประกาศห้ามออกจากเคหสถานในเวลาที่กำหนด หรือเคอร์ฟิวนั้น ขณะนี้ในบางพื้นที่โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวได้มีการผ่อนปรนไปแล้ว และหากฝ่ายความมั่นคง และด้านการข่าวประเมินแล้วเห็นว่ามีความสงบเรียบร้อยดี ก็จะมีการผ่อนปรนในพื้นที่อื่นต่อไป โดยเจ้าหน้าที่ทราบดีว่าการประกาศเคอร์ฟิว กระทบชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน นอกจากนี้ยังขอแจ้งเตือนว่าขณะนี้มีบุคคลบางกลุ่มที่กระทำไม่เหมาะสมโดยเปิดรับบริจาคเงิน และอ้างว่าจะนำเงินดังกล่าวให้เจ้าหน้าที่ทหารซึ่งไม่เป็นความจริง และเป็นการกระทำโดยมิชอบ เพราะเป็นการหลอกลวงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน โดยการปฎิบัติทำนองนี้จะมีฐานความผิด ไม่อยากให้กระทำในลักษณะแบบนี้ เพราะจะกระทบต่อบุคคลอื่น จึงขอให้เลิกการกระทำดังกล่าว
ในส่วนของความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านการรัฐประหารและ คสช.นั้น พ.อ.วินธัยกล่าวว่า มีการติดตามความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเบื้องต้นจะมีมาตรการในการปฏิบัติกับกลุ่มต่อต้านการทำงานของเจ้าหน้าที่ใน 2 รูปแบบ คือ 1. ป้องกันการติดต่อสื่อสาร และ 2. หากไม่เชื่อฟังก็จะต้องมีมาตรการจากเบาไปหาหนัก เริ่มจากการเจรจาเป็นหลัก ทั้งนี้ต่อไปจะมีการนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาร่วมดำเนินการให้มากขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามถึงแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 พ.อ.วินธัยกล่าวว่า ในที่ประชุม คสช.ยังไม่มีการพูดถึงเรื่งนี้ โดยขณะนี้วาระการประชุม คสช.ช่วงนี้มีเฉพาะในเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2557 เท่านั้น การดำเนินการใดๆ จะเน้นผลประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก
เมื่อถามถึงการติดตามตัวบุคคลที่ไม่มารายงานตัวตามคำสั่งของ คสช. โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีพฤติกรรมหมิ่นสถาบันตามคำสั่ง คสช.ที่ 49/2557 นั้น พ.อ.วินธัยกล่าวว่า ต้องปรึกษาฝ่ายกฎหมายว่าจะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง เพราะมีกระแสข่าวว่าหลายคนอยู่ในต่างประเทศ โดยกฎหมายที่ คสช.บังคับใช้ สามารถใช้ได้ในราชอาณาจักรเท่านั้น รวมไปถึงยังไม่ทราบหลักแหล่งที่พำนักของแต่ละคนอย่างชัดเจน ซึ่งหากฝ่ายกฎหมายเห็นว่ามีช่องทาง ก็สามารถดำเนินการได้ โดยที่ผ่านมาจะเป็นในรูปบบขอความร่วมมือในประเทศนั้นๆ รวมไปถึงการขอความร่วมมือกับทางตำรวจสากลด้วย
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า การออกคำสั่งให้ผู้ที่มีพฤติกรรมหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเข้ามารายงานตัวดังกล่าวอาจทำให้บุคคลเหล่านั้นใช้เป็นช่องทางหลี้ภัยทางการเมืองไปยังต่างประเทศหรือไม่ พ.อ.วินธัยกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูล
ด้าน ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ ทีมโฆษก คสช.ฝ่ายพลเรือน กล่าวถึงผลการประชุม 3 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยาเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า โดยภาพรวมได้ติดตามแผนงานตามกรอบงบประมาณปี 2557 โดยเน้นย้ำโครงการเร่งด่วน ซึ่งเป็นโครงการที่เป็นไปตามกรอบ ทั้งนี้ในรูปแบบการพิจาณาโครงการตามกรอบงบประมาณปี 57 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องศึกษาความเป็นไปได้ของแต่ละโครงการว่าควรจะเดินตามโครงการเดิม หรือต้องปรับเปลี่ยนโครงการใหม่หรือไม่นั้นต้องดูตามความเหมาะสม และคณะกรรมการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) จะเข้ามาร่วมตรวจสอบอีกครั้ง ขณะเดียวกัน หัวหน้า คสช.ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยจะไม่ไว้หน้าใครหากมีความคิดจะทุจริตคอร์รัปชัน
ร.อ.นพ.ยงยุทธกล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้ให้แนวทางว่าโครงการต่างๆ ต้องเป็นประโยชน์ต่อประชาชน เน้นเรื่องปากท้องความเป็นอยู่ และให้สัมพันธ์กันของแต่ละกระทรวง สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน ที่ผ่านมาการบริหารงานและการขับเคลื่อนนโยบายมีข้อจำกัด แต่ขณะนี้มีการปลดล็อกไปแล้ว จึงอยากให้กำลังใจข้าราชการทุกระดับในการเร่งการทำงานโดยยึดประโยชน์ของประชาชน เน้นความโปร่งใสในการทำงาน และความเป็นธรรม รวมถึงฝากให้ชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนเพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง เช่นเรื่องของโครงสร้างพลังงาน และภาษี เน้นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน และมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงทำความเข้าใจ แต่หากจะมีการปรับเปลี่ยนอย่างไรขึ้นอยู่กับคณะกรรมการที่จะพิจารณา
สำหรับกรณีที่มีกระแสข่าวการลดราคาน้ำมัน และราคาก๊าซ หรือการปลดบอร์ด ปตท. ร.อ.นพ.ยงยุทธกล่าวว่า เรื่องนี้ถือเป็นข่าวลือ เพราะขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขอความกรุณาอย่างหลงเชื่อข่าวดังกล่าว สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ให้กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ทำการชี้แจงทำความเข้าใจกับนานาชาติ รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในเหตุการณ์ทั้งก่อน และหลังวันที่ 22 พ.ค. โดยอยากให้ต่างประเทศเข้าใจถึงบริบทของประเทศไทยในขณะนี้
ขณะเดียวกัน ให้กระทรวงพาณิชย์ดูแลควบคุมเรื่องของราคาสินค้าที่จำเป็นอย่างจริงจัง โดยหัวหน้า คสช.ได้ให้แนวทางในเรื่องของวัสดุ ผลิตภัณฑ์ ในประเทศที่มีความจำเป็นพื้นฐาน โดยอยากให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์ในประเทศ ส่วนเรื่องการกระตุ้นการพัฒนาภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน เน้นในการช่วยเหลือปัจจัยการผลิต และเรื่องเมล็ดพันธุ์ โดยได้สั่งการให้ตั้งศูนย์เมล็ดพันธุ์ ในทุกจังหวัด เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร สำหรับปัญหาส่วนรวมในเรื่องของน้ำ ป่า และขยะที่ต้องช่วยกันดูแล บริหารจัดการโดยภาพรวม เช่น น้ำ ที่จะต้องวางโครงสร้างทั่วประเทศ ตามกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพราะที่ผ่านมาแต่ละหน่วยงานต่างฝ่ายต่างทำงาน โดยนับจากนี้ไปจะมีการเปลี่ยนลักษณการทำงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ร.อ.นพ.ยงยุทธกล่าวต่อว่า หัวหน้า คสช.ยังมีความห่วงใย ในเรื่องของปัญหาแรงงานต่างด้าว ที่ถือว่าเป็นปัญหายืดเยื้อ และอาจจะกระทบต่อคนไทยในพื้นที่ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลในเรื่องการจัดระเบียบพื้นที่ที่พัก ให้เป็นหมวดหมู่ ซึ่งลดภาระปัญหาทางสังคมได้ และเป็นประโยชน์ต่อแรงงานไทย ขณะเดียวกัน ยังมีความเป็นห่วงโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว ในจังหวัดทางภาคเหนือ และโรงเรียนที่ถูกไฟไหม้ ในพื้นที่ภาคใต้ โดยเบื้องต้นได้ส่งทหารเข้าไปช่วยเหลือทันที รวมถึงให้กระทรวงศึกษา กองทัพภาคที่ 3 และ 4 เร่งสร้างอาคารเรียนทดแทน อย่างไรก็ตามได้มอบนโยบายหลักศูนย์การเรียนการสอนให้สอดแทรกประวัติศาสตร์ไทย และสร้างความภูมิใจในความเป็นไทย