ผ่าประเด็นร้อน
ในที่สุดสถานการณ์ก็พัฒนามาจนถึงการรัฐประหารเมื่อตอนเวลา 15.30 น.วันที่ 22 พฤษภาคม ภายใต้ชื่อ “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” (คสช.) นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก หลังจากเปิดทางให้มีการเจรจากันเพื่อหาทางออกระหว่างคณะบุคคลที่เกี่ยวข้อง 7 ฝ่าย
แต่เมื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจาพูดคุยกันโดยตรงผ่านมา 2 วัน ภายใต้การการกับดูแลของฝ่ายกองทัพ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นโต้โผ ทุกอย่างก็เหลวไม่เป็นท่า และเสียเวลาเปล่า เพราะฝ่ายตัวแทนอำนาจของ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ส่งตัวแทนเข้ามาคือ “ชัยเกษม นิติสิริ” รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมยืนกรานจนนาทีสุดท้ายว่า “ไม่ยอมลาออก” เพื่อเปิดทางให้มีรัฐบาลใหม่ที่มีอำนาจเต็ม การเมืองก็ถึงทางตัน เพราะฝ่ายระบอบทักษิณยังนั่งขวางคลองยื้ออำนาจรักษาผลประโยชน์ ยืนยันต้องเดินหน้าเลือกตั้งในสภาที่โกลาหลวุ่นวายต่อไป
นั่นคือจุดสิ้นสุดความอดทนของกองทัพที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ทุบโต๊ะยึดอำนาจทันที เพราะถ้าไม่ทำแบบนี้ มันก็เสี่ยงกับความวุ่นวายจนยากที่จะควบคุมได้ เพราะแม้ว่าจะมีการประกาศกฎอัยการศึกให้อำนาจเบ็ดเสร็จในมือแล้วก็ตาม แต่ถึงอย่างไรสถานะของรัฐบาลก็ยังอยู่ สถานะของรองนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ ของ นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ก็ยังอยู่ ทุกอย่างมันเดินมาถึงทางตัน
สิ่งที่ต้องพิจารณานับจากนี้ คือ ทิศทางการเมืองและอำนาจจะเดินไปทางไหน ก็ต้องฟันธงได้เลยว่า “ต้องเดินไปตามเส้นทางปฏิรูป” อย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะนี่คือแนวทางของประชาชนทั้งประเทศ เป็นกระแสใหม่ที่เกิดขึ้นมาแล้ว และในแถลงการณ์ของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติก็มีการระบุเอาไว้อย่างชัดเจนในแถลงการณ์ฉบับแรกมีเนื้อหาโดยสรุปก็คือจะปฏิรูปทุกภาคส่วนโดยเร็ว
ขณะเดียวกัน เพื่อพิจารณาจากคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 5 ที่ระงับใช้รัฐธรรมนูญปี 50 เป็นการชั่วคราว แต่ให้คงไว้ซึ่งวุฒิสภา องค์กรอิสระ และศาล ให้ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ มันก็ได้เห็นแนวทางค่อนข้างชัดว่าน่าจะมีการเสนอชื่อนายกฯคนใหม่ผ่านทางวุฒิสภา เพื่อเข้ามาทำหน้าที่ในภารกิจสำคัญ เช่นแก้ไขกฎหมายสำคัญ แบบรัฐบาลเฉพาะกาล อาจใช้เวลาไม่นาน 6 เดือนถึง 1 ปีแล้วเลือกตั้งใหม่ และต้องไม่ลืมว่าในวันเดียวกันก่อนหน้านั้นคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะใหญ่ได่มีมติเกือบเป็นเอกฉันท์ว่าการเลือกประธานวุฒิสภาและรองประธานวุฒิสภาในช่วงสมัยประชุมวิสามัญทำได้ไม่ผิดกฎหมาย ยิ่งทำให้ทุกอย่างฉลุย
เอาเป็นว่าเส้นทางปฏิรูปประเทศทุกด้านถูกบังคับให้เดินไป จะไปขัดขวางไม่ได้เป็นอันขาด ซึ่งเชื่อว่าหัวหน้า คสช.อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา น่าจะเข้าใจ และต้องรีบดำเนินการโดยไม่ชักช้า เพราะหากเดินไปในแนวทางดังกล่าว เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ถึงตอนนั้นเขาก็จะได้รับการแซ่ซ้อง และจะกลายเป็นการการปฏิรูปประเทศจะเกิดขึ้นสำเร็จสมบูรณ์แบบไม่ได้ หากไม่มีกองทัพสนับสนุน ซึ่งคำกล่าวนี้ก็เป็นจริง
ดังนั้นก็ต้องเชียร์ให้ผู้นำที่เข้ามายึดอำนาจคราวนี้ทำในสิ่งที่ประกาศเอาไว้ ทุกเรื่อง เพื่อนำความพัฒนาไพบูลย์ให้เกิดขึ้น และเกิดประโยชน์กับประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่คนใด กลุ่มใด เพราะถ้าเป็นแบบนั้น ก็คงจะเห็นภาพในอนาคตได้ดี
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งเราก็ได้เห็นความหายนะของระบอบทักษิณ ที่ต้องพังทลายลงอีกครั้ง และคราวนี้สถานการณ์ได้ต่างไปจากเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อปี 49 เพราะคราวนี้ประชาชนตื่นรู้มากมายมหาศาล การคิดจะสร้างเงื่อนไขจากการยึดอำนาจครั้งนี้เพื่อสร้างกระแสแบบเดิมคงยาก เพราะชาวบ้านได้รู้เช่นเห็นชาติกันมากแล้ว
อย่างไรก็ดี เวลาเท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์กับทุกฝ่าย ไม่เว้นแม้แต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วย เพราะประชาชนจับตาดูอยู่!!