“ชวนนท์” ชี้อุปสรรคทางออกอยู่ที่ พท. ผิดหวัง “นิวัฒน์ธำรง” ดื้อเลือกตั้ง

โฆษกประชาธิปัตย์ ชู “สุรชัย” เจตนาดีให้ “อภิสิทธิ์” แจง ส.ว.ชี้อุปสรรคอยู่ที่เพื่อไทย วอนทบทวนสาเหตุความขัดแย้ง ผิดหวัง “นิวัฒน์ธำรง” ดื้อดันเลือกตั้ง จี้ กกต.รอบคอบดูปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ทูลเกล้าฯ ได้หรือไม่ ด้าน “จุฤทธิ์” เตือนซ้ำรอย



วันนี้ (14 พ.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการรับฟังความเห็นทุกฝ่ายของวุฒิสภา เพื่อหาทางออกให้กับประเทศว่า เป็นเจตนาที่ดีของนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ว่าที่ประธาน ส.ว.และสมาชิกวุฒิสภา โดยพรรคขอบคุณที่เปิดโอกาสให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้แจงแผนเดินหน้าประเทศไทยต่อที่ประชุมนอกรอบของวุฒิสภา โดยพรรคพร้อมที่จะสนับสนุนและให้ความร่วมมือกับการทำงานของ ส.ว. แต่อุปสรรคที่ยังเดินหน้าไม่ได้อยู่ที่รัฐบาลและพรรคเพื่อไทย จึงขอเรียกร้องให้ทบทวนถึงสาเหตุความขัดแย้ง และพฤติกรรมที่สร้างปัญหา เพราะพรรคเพื่อไทยจะยืนกระต่ายขาเดียวขัดขวางการแก้ปัญหาชาติไม่ได้ ต้องมาเป็นส่วนหนึ่งในการหาคำตอบให้ประเทศ และผิดหวังที่นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ยังดึงดันที่จะเลือกตั้งอย่างเดียว ทั้งนี้ขอให้ กกต.หารือกับรัฐบาลในประเด็นว่าจะทำให้การเลือกตั้งเป็นที่ยอมรับได้อย่างไร ไม่ใช่การหารือเพื่อกำหนดวันเลือกตั้งโดยไม่คำนึงถึงบรรยากาศของบ้านเมืองที่ยังมีการต่อต้านอยู่ เพราะการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทุกฝ่ายต้องมีส่วนร่วม ไม่มีการคัดค้าน สุจริตเที่ยงธรรม ทุกฝ่ายหาเสียงได้โดยเสรี

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ยังเรียกร้องให้ กกต.พิจารณาข้อกฎหมายที่มีการถกเถียงเกี่ยวกับอำนาจของนายนิวัฒน์ธำรง ในการทูลเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งว่าสามารถทำแทนนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลเคยอ้างความเห็นเลขากฤษฎีกาว่า นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภา ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ประธานวุฒิสภาได้ หากคิดตามแนวทางนี้นายนิวัฒน์ธำรงก็ไม่น่าจะปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีได้ จึงอยากให้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะหากมีปัญหาในภายหลังก็จะทำให้การเลือกตั้งมีปัญหาตามมา

“พรรคเพื่อไทยเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาไม่ใช่คนที่มากำหนดทิศทางประเทศโดยไม่รับฟังเสียงของประชาชน เพราะไม่ใช่ทางออกของประเทศ การที่นายนิวัฒน์ธำรงปฏิเสธหารือกับวุฒิสภาเป็นเรื่องที่ไม่สมควร หากมีข้อเสนอที่แตกต่างควรไปเสนอต่อวุฒิสภา ชี้แจงให้ชัดว่ามั่นใจได้อย่างไรว่าเลือกตั้งแล้วจะสงบ และให้มีการถ่ายทอดสด เพราะในระหว่างที่นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงต่อวุฒิสภากลับมีการตัดสัญญาณการถ่ายทอดสด ปิดหูปิดตาประชาชน” นายชวนนท์กล่าว

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวด้วยว่า ทุกฝ่ายต้องเลิกหยิบยกข้อกฎหมายเฉพาะที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตนโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมและทางออกของประเทศ ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ไม่ได้ยึดว่าจะต้องทำตามแผนเดินหน้าประเทศไทยที่มีการเสนอไปก่อนหน้านี้ โดยพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนกับทุกฝ่าย พร้อมกับยืนยันว่าวุฒิสภาทำงานด้วยความเป็นกลางไม่ได้เป็นเครื่องมือของฝ่ายใด แต่ทำเพื่อประโยชน์ของคนทั้งชาติ แกนนำเสื้อแดงไม่ควรทำร้ายประเทศ แต่ต้องเปิดโอกาสให้วุฒิสภาได้ทำงานเพื่อหาคำตอบที่เป็นรูปธรรม ถ้ายังตั้งธงให้เกิดการเผชิญหน้าประเทศจะไม่มีทางออก และสุดท้ายจะหลีกเลี่ยงการนองเลือด การฉีกรัฐธรรมนูญ และการรัฐประหารไม่ได้

ด้านนายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้ กกต.เป็นตัวของตัวเอง อย่าเดินตามการดันทุรังของรัฐบาล โดยมีเหตุผลสี่ข้อ คือ 1. รัฐบาลเป็นผู้ที่จะลงเลือกตั้งจะฟังรัฐบาลไม่ได้เพราะรัฐบาลมีส่วนได้เสีย 2. รัฐบาลผลักดันให้มีการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57 สุดท้ายเป็นโมฆะไม่รับผิดชอบโยนให้ กกต. 3. รัฐบาลไม่รับผิดชอบต่องบประมาณที่สูญไปกว่า 3,800 ล้านบาท ประชาชนต้องรับภาระ กกต.ต้องพิจารณาว่าจะทำให้เกิดการใช้งบประมาณที่สูญเปล่าอีกหรือไม่ 4. กกต.ต้องจัดการเลือกตั้งที่สุจริตเป็นธรรม จึงต้องคิดอย่างรอบคอบให้เกิดความพร้อมทุกด้าน รวมทั้งความต้องการของประชาชน เพราะที่ผ่านมาการเลือกตั้งมีผู้ไปใช้สิทธิ์น้อย จึงค่อยกำหนดวันเลือกตั้ง อย่ามองแค่ความต้องการของรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว

นายจุฤทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยกับการประชุมหาทางออกให้ประเทศไทยของวุฒิสภา โดยอ้างว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะประชุมนอกรอบแต่กลับใช้ห้องประชุมรัฐสภาว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการ รมว.ศึกษาธิการ ที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นพวกความจำสั้น เพราะพรรคเพื่อไทยเคยใช้ห้องประชุมรัฐสภาประชุมรักษาอำนาจตัวเอง หลังการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57 แค่ 2 วัน คือมีการประชุมในวันที่ 4 ก.พ. 57 ทั้งที่ยังไม่มีการรับรอง ส.ส. ถามว่าทำไมใช้ห้องประชุมได้ ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยต้องอยู่เฉยๆ อย่าทำตัวเป็นมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ เพราะประเทศไทยจะหาทางออกไม่ได้ อีกทั้งวุฒิสภาปฏิญาณตนแล้วทำหน้าที่ได้เต็มที่และยังเป็นองค์กรเดียวที่ทำหน้าที่นิติบัญญัติ จึงต้องเปิดโอกาสให้วุฒิสภาได้ทำงาน