สะเก็ดไฟ
ตอกลิ่มพะยี่ห้อเครือข่าย “ชินวัตร” สู่ทำเนียบนายกรัฐมนตรีผู้มีมลทินไปได้อีกหนึ่ง สำหรับ “ปูกรรเชียง” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 สอยล่วงตกเก้าอี้ ไปตามรุ่นพี่ๆ ที่ประพฤติมิชอบเป็นแบบอย่างก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น “นายห้างดูไบ” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร “ลุงหมัก” นายสมัคร สุนทรเวช และ “ชายน้อย” นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
“ชินวัตรคอนเนกชัน” ตกเก้าอี้ สิ้นอำนาจ ด้วยอิทธิฤทธิ์ศาลรัฐธรรมนูญแทบทั้งสิ้น
ผลจากการฟันกบาล “ปูกรรเชียง” หนนี้จึงเป็นการันตีได้อีกครั้งว่า ทุกคนที่ขึ้นสู่อำนาจได้เพราะ “ทักษิณ” มักจะมาแสวงหาประโยชน์เพื่อตัวเองบนอำนาจบริหาร มากกว่าทำเพื่อประชาชน และผลที่ได้รับมักจะมีอันเป็นไปในลักษณะคล้ายกันแทบทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม ผลจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ที่เลือกบั่นคอเฉพาะ “ปูกรรเชียง” และเหล่าเสนาบดีใน “ครม.ยิ่งลักษณ์ 1” จำนวน 9 คน ที่ร่วมประชุมครม.ในวันที่มีมติโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี พ้นตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ตามสภาพที่ออกมาถือว่า ทำให้รัฐบาลรักษาการชุดปัจจุบันเสียสูญ ง่อนแง่น และพิกลพิการไปไม่น้อย
เพราะนอกจาก “หัว” อย่าง “ปูกรรเชียง” จะหายแล้ว บรรดาหางยังร่องแร่ง ทำให้ลำตัวไม่สมประกอบ
แม้จะไม่ล้มครืนกันทั้งหมดก็ตาม แต่การห้อยติ่งอยู่แค่ 25 คน ย่อมทำอะไรไม่สะดวกโยธิน เทียบกับตอนนารีน้องสาวนายห้างยังไม่ร่วงจากต้นว่า ลำบากยากเข็ญแล้ว เพราะไม่สามารถอนุมัติเรื่องต่างๆ ได้เลย เสมือนเป็ดง่อย
แต่ “เสี่ยนิวัฒน์” นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ที่มาทำหน้าที่ขัดตาทัพในตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีอีกหัวโขน ย่อมต้องเจอความยากลำบากมากกว่าสองเท่าทวี
ไม่มีอำนาจเต็ม นั่งเป็นไม้ประดับ หายใจทิ้ง อาศัยที่มาจากการเลือกตั้งหากินไปวันๆ
แม้ในทางนิตินัยจะยังไม่เกิดสุญญากาศ แต่ทางพฤตินัยย่อมเป็นที่ล่วงรู้กันว่า ครม.ที่เหลือคือ ตอไม้ผูกผ้าสามสีดีๆ นี่เอง
แน่นอนว่า คำวินิจฉัยในครั้งนี้ในทางการเมืองถือว่า พรรคเพื่อไทยยังพอมีทางแคบๆ ให้เดินอยู่บ้าง ไม่ใช่โละทิ้งกันจนสูญพันธุ์ยกกระบิ แต่ยังเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการปลดชนวนครั้งนี้ โดยใช้สถานะ ครม.ที่อยู่เป็นฟันเฟืองตัวหนึ่งเพื่อไปสู่จุดร่วม
อยู่ที่ “นายห้างดูไบ” จะเลือกระหว่างถอย หรือสู้ยิบตาเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ในส่วนของ “ปูกรรเชียง”อดีตนายกรัฐมนตรีเอง แม้หลายฝ่ายจะสะใจที่ร่วมแรงร่วมใจจนถีบกระเด็นพ้นเก้าอี้สมใจได้ แต่หากดูผลกระทบที่เกิดขึ้นจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ อดีตนายกฯหญิงได้รับผลกระทบแค่เพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น นั่นคือ ดันทุรังอยู่ในอำนาจต่อไปไม่ได้ ในศึกชิงเมืองงวดนี้
กับอีกผลกระทบหนึ่งคือ ทำให้ระบอบทักษิณเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ไร้อำนาจต่อรองหลังจากนี้ มีแต่โดนต้อนเข้ามุมอับอย่างเดียว
ส่วนปัญหาระยะยาวนั้น นอกจากบรรทัดฐานเรื่องการแทรกแซง หรือโยกย้ายคนของตัวเอง หากกลับเข้าไปมีอำนาจอีกครั้งที่คงทำได้ยาก เพราะมีคำวินิจฉัยเป็นยันต์กันผีไว้แล้ว อันอื่นแทบจะไม่มีเกิดขึ้นกับ “ปูกรรเชียง” เลย เพราะคำวินิจฉัยครั้งนี้แม้จะทำให้ต้องสิ้นสภาพ แต่ไม่ได้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง หรือต้องโทษอื่นๆ เลย
มีอย่างเดียวคือ กลับไปเป็นคนธรรมดาในช่วงที่ประเทศไทยยังหาคลำหาทางออกไม่ได้เท่านั้น
อีกทั้งหากมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้น “ปูกรรเชียง” ยังสามารถไปลงสมัครรับเลือกตั้งได้เหมือนเดิม และพรรคเพื่อไทยยังสามารถส่งชูนารีรายนี้เป็นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์หนึ่งได้ด้วย
เรื่องของเรื่องเพราะปมนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจชี้ถูกหรือผิดเท่านั้น ซึ่งหากยังเป็นกรณีที่มีสภาผู้แทนราษฎรอยู่ รัฐบาลสามารถไปเปิดสภาเพื่อเลือก “ปูกรรเชียง” กลับมานั่งได้อีกครั้งได้ด้วย
จึงจะเห็นได้ว่า การโดนสอยร่วงครั้งนี้ “ปูกรรเชียง” ไม่ได้มีสีหน้าหรือท่าทางที่พะว้าพะวงสักเท่าไหร่ อาจมีติดดรามาบ้างก็เป็นไปตามสคริปต์ที่มีการเซตกันไว้เพื่อเรียกคะแนนสงสาร ขณะเดียวกันยังมีการมองกันว่า บางทีการหล่นจากเก้าอี้เบอร์หนึ่งตึกไทยคู่ฟ้า ยังทำให้อดีตนายกฯ หญิงรายนี้สบายใจขึ้นเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่ต้องมาเผชิญกับสภาพกดดันที่ถาโถมอย่างหนัก
บางทีอาจอยู่ในสภาพโล่งอก ที่ให้บรรดาสมุนขี้ข้าลิ่วล้อที่เหลือไปรับชะตากรรมแทน เพราะก่อนหน้านี้ก็มีข่าวถอดใจออกมาอยู่บ่อยๆ แต่ลงจากหลังเสือไม่ได้
คนที่หงุดหงิดใจน่าจะเป็น“นายห้างดูไบ” ที่คงจะรู้สึกว่าศาลรัฐธรรมนูญจองเวรไม่เลิก
อย่างไรก็ตาม คิวที่น่ากลัวสำหรับ “ปูกรรเชียง” จริงๆ ที่หลายคนมองข้ามไปแล้ว และคิดว่า ไม่มีผลอย่างคดีรับจำนำข้าวในมือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กลับเป็นอาวุธที่ทรงแสนยานุภาพ และหลอนประสาทได้ไม่น้อย
เพราะเมื่อ ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 ชี้มูลความผิดฐานส่อจงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ จากปมทุจริตจำนำข้าว และส่งไม้ต่อให้วุฒิสภาถอดถอนในเบื้องแรกไปแล้วนั้น
เรื่องการถอดถอนอาจไม่น่ากังวล เพราผลพวงที่ตามมาเต็มที่ก็เป็นเรื่องการตัดวิทธิ์ในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง
อีกทั้งการถูกชี้มูลในคำร้องขอถอดถอน ป.ป.ช.จะส่งเรื่องไปให้วุฒิสภาใช้เสียง 3 ใน 5 ของที่ประชุมพิจารณาเพื่อลงมติ หากเสียงไม่ถึงก็รอดตัวไป แต่หากโดนเมื่อใดก็เซย์กู๊ดบายการเมืองไป 5 ปีเต็มๆ เรียบร้อยโรงเรียนยี่ห้อนายห้างดูไบได้เลย
ทว่า ต่อจะให้รอดจากการถูกถอดถอน แต่ก็ยังหายใจได้ไม่เต็มปอด เพราะคดีอาญายังคาอกอยู่ ซึ่ง ป.ป.ช.จะใช้เวลาในการไต่สวนเพิ่มเติมอีกระยะหนึ่ง ก่อนลงมติว่าจะชี้มูลหรือไม่ หากมีมติในทิศทางเดียวกับสำนวนถอดถอน ก็จะส่งให้อัยการเพื่อฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อตัดสินชี้ขาด
ตรงนี้แม้จะใช้ระยะเวลายาวนานเป็นแรมปี ติดขัดในหลายขั้นตอน อาจไม่ทันใจแฟนคลับ แต่พลานุภาพหากโดนฟันฉับขึ้นมาโทษคือ นอนคุกอย่างเดียว!!
รุนแรงไม่รุนแรงก็ทำเอาพี่ชายตัวเองต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่นอกประเทศ ณ บัดนี้ยังไม่ได้กลับบ้าน เหมือนกับคดีจัดซื้อจัดจ้างรถดับเพลิงของ กทม. ที่นายประชา มาลีนนท์ เตลิดเปิดเปิงออกจากสยามประเทศไปตั้งแต่ยังไม่มีคำพิพากษา
แม้ตอนนี้จะไม่สามารถทำให้ทันใจได้ แต่ตราบใดที่คดียังอยู่ในมือ ป.ป.ช. “ปูกรรเชียง” ย่อมมีความหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีวันนอนหลับได้เต็มอิ่ม เพราะไม่รู้จะถูกหยิบขึ้นมาเมื่อใด
ขณะเดียวกัน ในทางการเมืองยังนำมาใช้ต่อรองไม่ให้ระบอบทักษิณขยับเขยื้อนทำอะไรเกินตัวหลังจากนี้ ซึ่งหากทะเล่อทะล่าวัดใจ อาจได้กลายเป็น “นายหญิงดูไบ” อีกคน