ผ่าประเด็นร้อน
ไม่เคยเชื่อมั่น ไม่เคยให้ราคากับตัวบุคคล อย่าง เฉลิม อยู่บำรุง นับตั้งแต่เข้ามามีบทบาททางการเมือง เพราะไม่เคยมีผลงานอะไรเป็นแก่นสาร นอกจากคำพูดอวดตัวอวดเก่ง ใช้วิธีขู่กรรโชกคนอื่น หรือฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลา ขณะเดียวกันเมื่อพลิกดูพฤติกรรมส่วนตัวและคนในครอบครัวที่เป็นลูกชายสองสามคนก็มักก่อเรื่องอื้อฉาว จนสร้างความเกลียดชังให้กับสังคมไม่น้อย
พฤติกรรมที่ผ่านมาหากกล่าวกันอย่างตรงไปตรงมา สาเหตุที่เข้ามาร่วมกับใช้ ทักษิณ ชินวัตร ถึงขั้นประกาศเป็น “ขี้ข้า” ที่ซื่อสัตย์ ก็คงเป็นการฉวยโอกาสในช่วงที่พวก “แถวหนึ่งแถวสอง” ในพรรคเพื่อไทยกำลังติดโทษแบนทางการเมือง เป็นการเข้ามาแบบไม่ต้องลงทุน แต่ได้ประโยชน์คุ้มค่า ซึ่งอานิสงส์ดังกล่าวยังส่งผลไปถึงลูกชายทั้งคนที่เข้ามาในเส้นทางการเมือง และคนที่ได้จังหวะโยกจากการรับราชการทหารมาเป็นนายตำรวจ ที่ปัจจุบันได้เลื่อนยศจนก้าวกระโดด
สำหรับ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล หลังจากย้ายออกจากพรรคประชาธิปัตย์ จนมาอยู่กับพรรคเพื่อไทย จากเดิมที่เคยวิจารณ์ด่าทอ ทักษิณ ชินวัตรมานานจนเคยมีคดีความฟ้องร้อง แต่เมื่อ เปลี่ยนไปเป็น “หลังเท้า” ยอมสยบราบคาบก็ได้รับบำเหน็จรางวัลที่คุ้มค่าเช่นเดียวกัน
นั่นคือแบ็กกราวนด์พอสังเขปของคนทั้งสอง พอให้เห็นภาพที่มาที่ไปก่อนที่คนแรกจะระหกระเหินมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จนล่าสุดก็อาสาเข้ามานั่งเก้าอี้ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ หรือ ศอ.รส. ส่วนอีกคนก็ถูกโยกไปนั่งประธานที่ปรึกษา ทำหน้าบังคับใช้พระราชบัญญัติความมั่นคงในราชอาณาจักร หลังจากก่อนหน้านี้เคยควบคุมการใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินมาแล้ว แต่เมื่อพิจารณาจากการทำหน้าที่ก็ต้องบอกว่า ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะทั้งตัวบุคคลทั้งคู่ที่ได้รับแต่งตั้งให้กำกับดูแลล้วนแล้วแต่ไร้ความหมาย ไม่อาจรักษาความสงบ ไม่อาจควบคุมสถานการณ์ได้เลย ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินหรือไม่ก็ตาม
หากจะบอกว่าทั้งคู่ คือ ทั้ง เฉลิม และ สุรพงษ์ ถูกใช้ให้เข้ามาดูแลความเรียบร้อย ดูแลความมั่นคงให้กับบ้านเมือง โดยเฉพาะการปกป้องรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ภายใต้กฎหมายพิเศษดังกล่าว แต่เอาเข้าจริงทุกอย่างกลับตรงกันข้าม มีแต่สร้างความวุ่นวาย เกิดการนองเลือดแทบไม่เว้นวัน
ในตอนแรกมีความเข้าใจกันการแต่งตั้งคนเหล่านี้เข้ามาเพื่อดูแล ศอ.รส. เพื่อจัดการกับฝ่ายต่อต้าน ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล หรือไม่ก็ขยิบให้พวก “กุ๊ยการเมือง” ลงมือทำร้ายเป้าหมาย โดยในช่วงแรกๆ เมื่อเกิดเหตุร้าย มีการใช้อาวุธสงครามนานาชนิดยิงถล่ม ศาลยุติธรรม ข่มขู่คุกคามบุคคลสำคัญทั้งที่เป็นตุลาการ องค์กรอิสระ รวมไปถึงการสังหารมวลชน และแกนนำของ กปปส. มาอย่างต่อเนื่อง แต่องค์กรพิเศษภายใต้กฎหมายพิเศษ ภายใต้การควบคุมของ เฉลิม อยู่บำรุง และ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล กลับไม่อาจจับกุมใครได้แม้แต่ครั้งเดียว หรือหากจับได้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นพวกปลาซิวปลาสร้อย และที่สำคัญก็คือบางคดีถูกมองว่าเป็นการ “จัดฉาก”
อย่างไรก็ดี ระยะหลังกลับกลายเป็นว่าแม้กระทั่งเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับคนเสื้อแดงพวกเดียวกัน ซึ่งหากอยู่ในเขตพื้นที่ความมั่นคงก็ยังไม่อาจจับมือใครดมได้เลย ยกเว้นนอกเหนือเขตอำนาจของพวกเขาอย่างเช่น คดีลอบยิง ขวัญชัย สาราคำ แกนนำคนเสื้อแดงอุดรธานี ที่ตำรวจสามารถจับกุมคนร้ายได้อย่างรวดเร็วน่าทึ่ง ทั้งที่แทบจะไม่มีรูปพรรณสัณฐานของคนร้าย หรือมีเบาะแสน้อยมาก แต่ในที่สุดก็จับกุมได้ แม้ว่าจะมีข้อกังขาอยู่บ้าง “จับแพะ” ก็ตาม
ล่าสุดได้เกิดเหตุร้าย มีการลอบยิง กมล ดวงผาสุก หรือ “ไม้หนึ่ง ก.กุนที” แกนนำระดับหนึ่งของคนเสื้อแดงเสียชีวิตอย่างอุกอาจ กลางวันแสกๆ ซึ่งคดีนี้ก็มีความสนใจอีกว่าตำรวจภายใต้คำสั่งของ ศอ.รส. จะสามารถจับกุมคนร้ายได้หรือไม่
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากมีศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) และอยู่ในความดูแลของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการ ศอ.รส. และ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานที่ปรึกษา ศอ.รส. ล้วนทำงานล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นว่านอกจากไม่อาจรักษาความสงบได้แล้ว ยังถูกเยาะเย้ยว่าเป็นศูนย์ที่ “ทำลายความสงบ” กลายเป็นว่างานในหน้าที่กลับไม่ทำ แต่ไปทำเรื่องนอกเหนือหน้าที่ อย่างเช่น การออกแถลงการณ์แส่ไปก้าวก่ายการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ อย่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และล้ำเส้นกับการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ เพียงเพื่อต้องการใช้น้ำลายเอาใจ “นาย” คือ ทักษิณ ชินวัตร และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อแสดงออกให้เห็นว่าตัวเองได้ออกมาปกป้องแล้ว ส่วนจะเป็นการ “หวังดีประสงค์ร้าย” หรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง
ดังนั้น การกล่าวหาว่า ศอ.รส. เป็นศูนย์ทำลายความสงบ หรือเป็นองค์กรเถื่อนที่มีการตั้งมาโดยมิชอบด้วยกฎหมายแล้ว การทำงานที่ผ่านมาถือว่าล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ซึ่งอยู่ไปก็เปลืองงบประมาณ เพราะไร้ประโยชน์แม้กระทั่งกับรัฐบาลพวกเดียวกันเอง !!