โฆษกประชาธิปัตย์ เย้ยเพื่อไทยดิ้นไม่ถ่ายสดถก กกต.เหตุไม่มีใครมีอำนาจมากกว่า “ทักษิณ” แถมคนในไร้ความสามารถ เป็นแค่คนส่งสาร แนะสไกป์มาก็ได้ ชี้ “ยิ่งลักษณ์” พฤติกรรมไม่ต่างจากพี่ชาย ไม่ยอมรับคำตัดสินของกระบวนการยุติธรรม ใช้มวลชนกดดันการตรวจสอบ จวกแนวคิดถวาย พ.ร.ฎ.ขอพระบรมราชวินิจฉัยศาล รธน.ใช้อำนาจเกินขอบเขต โอดประธานองมนตรีและรัฐบุรุษกลายเป็นเหยื่อการเมืองอีก
วันนี้ (16 เม.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เชิญพรรคการเมืองหารือในวันที่ 22 เม.ย. 57 เพื่อปลดล็อกการเลือกตั้งว่า หลังจากที่ตนเสนอให้พรรคเพื่อไทยส่งตัวแทนที่มีอำนาจการตัดสินใจเข้าร่วมประชุมและให้มีการถ่ายทอดสด แต่พรรคเพื่อไทยกลับแสดงความเดือดร้อนอย่างมาก โดยเฉพาะการถ่ายทอดสด จึงต้องถามว่าทำไมจึงอยากปิดหูปิดตาประชาชน ไม่อยากให้ประชาชนได้เห็นแนวคิดของพรรคการเมือง ทั้งที่เป็นโอกาสที่จะทำให้ประชาชนทราบว่าแต่ละพรรคการเมืองมียุทธศาสตร์แก้ปัญหาบ้านเมืองอย่างไร จึงคิดว่าที่พรรคเพื่อไทยไม่กล้าให้มีการถ่ายทอดสดมีเหตุผล 2 ประการ คือ 1. ไม่มีใครมีอำนาจจริง เพราะหัวหน้าพรรคมีอำนาจใกล้เคียงกับ รปภ. เนื่องจากต้องฟังคำสั่งจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้ไม่สามารถส่งคนมีอำนาจจริงไปร่วมประชุมได้ 2. บุคลากรของพรรคเพื่อไทยไม่มีความสามารถในการพินิจพิจารณาประเด็นในการประชุมมีเพียงหน้าที่นำสารไปแจ้งที่ประชุมเพื่อให้มีการกำหนดวันเลือกตั้งเท่านั้น
“ผมต่อให้ก็ได้ ให้คุณอภิสิทธิ์คนเดียว แล้วพรรคเพื่อไทยทั้งพรรค หรือจะให้ พ.ต.ท.ทักษิณสไกป์มาก็ได้ซึ่งเป็นสิทธิของ กกต.ในฐานะผู้จัดงานจะเป็นผู้ใช้ดุลพินิจ ประชาชนจะได้เห็นแนวทางว่าจะเลือกพรรคแบบไหน ฝากไปถึง กกต.ด้วยว่า หากการหารือไม่ได้อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงแต่เป็นเพียงพิธีกรรมให้พรรคเพื่อไทยกลับไปเลือกตั้งก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้น กกต.ต้องตัดสินใจว่าควรจะจัดให้มีการหารือหรือไม่” นายชวนนท์กล่าว
นายชวนนท์วิจารณ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ไม่มีความชัดเจนว่าจะไปชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วยตัวเองหรือไม่ว่า ไม่แตกต่างจากพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ไม่ยอมรับคำตัดสินของกระบวนการยุติธรรม ใช้มวลชนกดดันองค์กรตรวจสอบ โดยคนเสื้อแดงเป็นยุทธศาสตร์ขาที่ 1 ที่จะกดดันศาลรัฐธรรมนูญ ยุทธศาสตร์ที่ 2 คือการใช้การเมืองซึ่งทั้งนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ ออกมาข่มขู่ว่าหากตัดสินไม่เป็นคุณกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเกิดความวุ่นวายในประเทศ
นายชวนนท์กล่าวว่า และยุทธศาสตร์ที่ 3 คือ การบิดเบือนกฎหมายเพื่อเอาตัวรอด เมื่อจนตรอกก็มีการพูดระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทถึงขนาดจะถวายพระราชกฤษฎีกาเพื่อขอพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจเกินขอบเขต ซึ่งถือเป็นความพยายามที่จะตั้งตัวเป็นรัฏฐาธิปัตย์ คิดในเรื่องที่ไม่บังควร เช่นเดียวกับกรณีที่นายชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม จะใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 7 เพื่อขอพระบรมราชวินิจฉัยว่ารัฐบาลจะรักษาการต่อไปได้หรือไม่ โดยเห็นว่าทั่งนายโภคินและนายชัยเกษมเป็นเพียงนักกฎหมายกำมะลอเท่านั้น ทั้งนี้เชื่อว่าการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญจะไม่ทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง
“นายชัยเกษมใช้กฎหมายเพื่อตัวเองมาตลอด นายอภิสิทธิ์ได้เสนอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ลาออกหากไม่อยากถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในเรื่องสถานภาพ แต่คนเป็นอดีตอัยการสูงสุดกลับไม่เข้าใจอ้างว่าต้องรักษาการลาออกไม่ได้นั้น ผมก็ไม่ได้แช่งแต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายชัยเกษม จะให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์รักษาการด้วยวิธีใด จึงหมดเวลาแล้วสำหรับนักกฎหมายขี้ฉ้อที่หาผลประโยชน์ให้ตัวเอง” นายชวนนท์กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงข้อเสนอของกลุ่มรัฐบุคคลว่าเป็นเจตนาดีที่พยายามจะปลดล็อกการเมืองแต่เมื่อมีการเสนอชื่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษให้เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการเพื่อปลดล็อกการเมืองในช่วงทีอาจเกิดสุญญากาศทางการเมืองว่า ทำให้ พล.อ.เปรมกลายเป็นเหยื่อทางการเมืองอีกครั้ง โดยมีการนำประเด็นนี้มาเป็นเงื่อนไขทางการเมืองปลุกระดมมวลชนทั้งที่ก่อนหน้านี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เคยเดินทางไปกราบ พล.อ.เปรมถึงบ้าน แต่ยุทธศาสตร์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้ พล.อ.เปรมตกเป็นเหยื่อทางการเมืองมาโดยตลอด ทั้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลทักษิณ ยิ่งลักษณ์ เพราะขี้โกง หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่เคารพกฎหมาย จึงขอให้คนเสื้อแดงเข้าใจและอย่าตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองที่ไม่หวังดีต่อประเทศชาติ