รองหัวหน้าประชาธิปัตย์เย้ย ศอ.รส.เรียกปลัดกระทรวงประชุมเขียนเสือให้วัวกลัว หลังปลัด 4 กระทรวงเชิญ “สุเทพ” คุย แนะ 3 ทางเลือกข้าราชการ ไม่เข้าประชุม-ถ้าเข้าก็ไม่แสดงความเห็น-ไม่ปฏิบัติตาคำสั่ง เชื่อสถานการณ์กลับมารุนแรงสู่เมษาเดือด ไม่ไว้ใจแดงป่วน จี้ “ยิ่งลักษณ์” ยับยั้ง
วันนี้ (16 เม.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ ศอ.รส.เรียกปลัดกระทรวงประชุมในวันพรุ่งนี้ (17 เม.ย. 57) ว่า สาเหตุที่ ศอ.รส.เชิญปลัดกระทรวงทุกกระทรวงไปหารือ เป็นเพราะก่อนหน้านี้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปสส.ได้เดินทางไปตามหน่วยงานราชการและได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากข้าราชการระดับสูง ทำให้รัฐบาลวิตกกังวลว่าหลังสงกรานต์หากยังดำเนินการอย่างนี้จะเกิดผลกระทบต่อรัฐบาลและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงพยายามเรียกประชุมเพื่อตัดไฟแต่ต้นลมและเขียนเสือให้วัวกลัว เพื่อไม่ให้ปลัดกระทรวงและข้าราชการระดับสูงพบปะพูดคุยกับ กปปส. อย่างไรก็ตาม ความพยายามของรัฐบาลคงไม่เกิดผลมากนัก เนื่องจากคนระดับปลัดกระทรวงกว่าจะขึ้นมาสู่ตำแหน่งนี้ได้เป็นข้าราชการมาอย่างยาวนานจึงมีวุฒิภาวะรู้สถานการณ์ว่าควรวางตัวอย่างไรให้สอดรับกับสถานการณ์อย่างเหมาะสม มีแต่รัฐบาลนี้เท่านั้นที่ไม่รู้ว่าสมควรวางบทบาทตัวเองอย่างไร
“ผมเชื่อว่าปลัดหลายกระทรวงจะยืนอยู่ข้างความถูกต้อง การที่รัฐบาลออกมาข่มขู่ข้าราชการอาจเป็นการกระทำความผิดและเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ เพื่อให้ข้าราชการแสดงตัวว่าอยู่ในอาณัติของรัฐบาลฉ้อฉลที่ใช้อำนาจโดยมิชอบ ตรงกันข้าม หากปลัดกระทรวงไม่เข้าร่วมประชุมสามารถทำได้โดยไม่มีความผิด เพราะการรับคำสั่งต้องชอบด้วยกฎหมายหากไม่ชอบก็มีสิทธิใช้วิจารณญาณตัดสินได้ว่าจะดำเนินการหรือไม่ โดยปลัดกระทรวงที่ดีต้องไม่เป็นทาสรับใช้นักการเมืองที่ฉ้อฉล” นายองอาจกล่าว
นายองอาจกล่าวว่า ทั้งนี้ในการประชุมพรุ่งนี้มีทางเลือก 3 ทาง คือ 1. ไม่เข้าร่วมประชุมกับการประชุมที่มิชอบโดยรัฐบาลฉ้อฉล 2. หากจำเป็นต้องเข้าประชุมไม่ต้องแสดงความเห็นแสดงถึงการไม่ยอมรับ 3. ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งจากผลการประชุมในวันพรุ่งนี้ ทั้งนี้ตนเชื่อว่าการประชุมดังกล่าวจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้าราชการที่ดีให้เปลี่ยนแปลงจุด ยืนที่อยู่ข้างความถูกต้องได้ โดยหลังจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไปข้าราชการที่ดีจะพิสูจน์ให้รัฐบาลเห็นว่าการประชุมเพื่อข่มขู่เอาผิดกับปลัดกระทรวงเพื่อเขียนเสือให้วัวกลัวนั้น จะไม่ทำให้วัวงานที่ดีของประชาชนเกิดความเกรงกลัวได้
นอกจากนี้ นายองอาจประเมินสถานการณ์การเมืองเดือนเมษายนที่มีแนวโน้มความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับว่า ในขณะนี้ผ่านมาแล้วครึ่งทาง แต่สถานการณ์การเมืองที่จะนำไปสู่เมษาเดือดกำลังจะเริ่มต้นขึ้น เพราะมวลชนต่างๆ มีการเคลื่อนไหวจัดการชุมนุมแสดงพลังในหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะเมื่อใกล้วันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยสถานภาพนายกรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรณีย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี จากตำแหน่งเลขาลิการ สมช.โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งจากกลุ่มคนเสื้อแดงที่สนับสนุนรัฐบาล และกลุ่ม กปปส.
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังกล่าวถึงกรณีที่นางธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตประธาน นปช. ระบุจะเคลื่อนประชาชนจากการชุมนุมใหญ่ที่ถนนอักษะเข้า กทม.ว่า แม้จะอ้างว่าไม่มีการใช้ความรุนแรงแต่พฤติกรรมในอดีตของคนเสื้อแดงจากการชุมนุมในปี 52-53 และการระรานพรรคประชาธิปัตย์ตลอดเวลาที่ผ่านมาทำให้ไม่สามารถไว้วางใจได้ว่า การระดมมวลชนมา กทม.จะมีการปฏิบัติตามที่ประกาศ เนื่องจากมีบทเรียนมาแล้วว่าคนเสื้อแดงใช้ความรุนแรงในหลากหลายรูปแบบแม้ไม่ใช่การชุมนุมใหญ่ อีกทั้งยังมีแกนนำภาคตะวันออกระบุว่าจะทำให้ กทม.เป็นอัมพาตด้วย ซึ่งทุกฝ่ายไม่อยากให้เกิดความรุนแรง ซึ่งคนที่จะหยุดความรุนแรงได้คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะยังรับเงินเดือนจากภาษีประชาชนในฐานะนายกรัฐมนตรีทุกวัน ต้องทำอะไรมากกว่านั่งๆ นอนๆ เดินไปมาในแต่ละวันเท่านั้น แต่ต้องทำทุกวิถีทางระงับยับยั้งไม่ให้เกิดความรุนแรงอย่างเด็ดขาดโดยเฉพาะคนเสื้อแดง เพราะรัฐบาลมีกลไกรัฐอยู่ในมือที่จะทำให้การชุมนุมไม่นำไปสู่ความรุนแรงได้ ซึ่งจะช่วยทำให้เมษายนไม่ใช่เดือนเมษาเดือดอีกต่อไป