เลขาฯ นปช.เย้ย “สุเทพ” ป่วยต้องพบจิตแพทย์ จี้กองทัพแสดงท่าทีเอาด้วยรัฏฐาธิปัตย์หรือไม่ จวกศาลรัฐธรรมนูญรับลูก กปปส. อ้าง “ยิ่งลักษณ์” พ้นตำแหน่งตั้งแต่ยุบสภาแล้ว จี้จำหน่ายเหมือนคดี “มาร์ค” ยันสาวกไม่คิดชนม็อบ ไม่ไปหน้าศาล พร้อมยุติบทบาทถ้าคนมาน้อยกว่า แต่ยังพูดเป็นนัยชาติจะยอมตกอยู่ใต้อำนาจหรือไม่
วันนี้ (8 เม.ย.) ที่ ร.ร.นายร้อยตำรวจสามพราน จ.นครปฐม เมื่อเวลา 11.30 น. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ ในฐานะเลขาธิการ นปช. กล่าวถึงการปราศรัยของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ที่ถูกมองว่ามีเนื้อหาเป็นแนวคิดรัฏฐาธิปัตย์ว่า ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมองว่าคำพูดดังกล่าวของนายสุเทพที่แสดงความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ แสดงให้เห็นว่านายสุเทพเป็นคนป่วยต้องพบจิตแพทย์ แต่สถานการณ์ขณะนี้ทำให้เห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยเป็นผู้ป่วยเสียเอง จึงมีพื้นที่ให้นายสุเทพออกอาละวาดได้ ทั้งนี้ตนมองว่าสิ่งที่นายสุเทพพูดจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อได้รับความร่วมมือจากกองทัพที่ออกมายึดอำนาจเท่านั้น เพราะจะไม่มีประชาชนคนใดยอมให้นายสุเทพถือนกหวีดไปฉีกรัฐธรรมนูญและยึดอำนาจของประชาชนไว้ที่คนคนเดียว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่กองทัพต้องออกมาแสดงท่าทีหรือตอบคำถามว่าการที่นายสุเทพประกาศออกมาเช่นนั้นหมายความว่าได้มีการตกลง หรือมีสัญญาณว่า กปปส.ได้รับความร่วมมือจากกองทัพใช่หรือไม่ ซึ่งคำตอบจากกองทัพเป็นสิ่งที่มีผลต่อบรรยากาศและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
“ถ้านายสุเทพทำสำเร็จ ผบ.ทบ.จะยินยอมให้นายสุเทพสถาปนาตัวเองเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดแห่งรัฐ อย่างที่ประกาศใช่หรือไม่ ผบ.ทบ.ยินดีที่จะไปรายงานตัวตามคำสั่งของนายสุเทพ แล้วนำกองทัพของชาติไปอยู่ใต้อำนาจของนายสุเทพอย่างไม่มีเงื่อนไขใช่หรือไม่ เรื่องนี้มีความจำเป็นที่ท่านต้องตอบ เพราะผมเห็นว่ามีวันหนึ่งที่คนไทยได้รับคำตอบ และคำตอบของกองทัพจะมีนัยยะสำคัญอย่างยิ่ง ต่อเป้าหมายทางการเมืองของนายสุเทพ” นายณัฐวุฒิกล่าว
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ส่วนการชุมนุมของแต่ละกลุ่มที่เชิญชวนมวลชนของตัวเองมาร่วมแสดงพลังอีกครั้ง มีความชัดเจนแล้วว่าทั้งสองฝ่ายรอการชุมนุมในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานภาพของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี จากกรณีการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี จากเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ซึ่งถ้าศาลรัฐธรรมนุญวิจินิจฉัยให้นายกฯ และครม.พ้นจากตำแหน่ง นปช.ก็จะออกมาแสดงพลัง ทั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่องค์กรอิสระมีส่วนร่วมในการกำหนดวันชุมนุมใหญ่ทางการเมือง โดยผู้ชุมนุมไม่ต้องรอฟังแกนนำ แต่ขอให้รอฟังศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ตนมองว่ากรณีดังกล่าวไม่มีเหตุอะไรที่ศาลต้องมาวินิจฉัย จึงเห็นว่าการกระทำของศาลรัฐธรรมนูญเป็นการรับลูกนายสุเทพ และจะมีส่วนร่วมในการสถาปนารัฏฐาธิปัตย์ ถือว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ แต่จะเป็นสะพานเชื่อมให้นายสุเทพ เดินไปยังเป้าหมายสูงสุดทางการเมือง ขณะที่นายกฯ และครม.ชุดปัจจุบันได้พ้นจากตำแหน่งไปแล้วตั้งแต่วันประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเหมือนกับกรณีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พ้นจากตำแหน่ง ส.ส.และนายกฯ พร้อมกันอันเนื่องมาจากการยุบสภา ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญจำหน่ายคดีที่นายอภิสิทธิ์ถูกร้องจากกรณีถูกถอดยศร้อยตรี
นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ในเมื่อบ้านเมืองมีแต่คนจะสุมไฟ ประชาชนก็มีหน้าที่ออกมาแสดงพลังปกป้องระบอบประชาธิปไตย และเราไม่มีความกังวลว่าจะเกิดความรุนแรง หรือเกิดการเผชิญหน้ากัน แม้ทั้งสองกลุ่มจะออกมาชุมนุมในวันเดียวกัน ทาง นปช.จะต้องออกมาประกาศให้ชัดว่าจะชุมนุมอยู่ในจุดหนึ่ง ส่วน กปปส.ก็อยู่อีกจุด เป็นการแสดงพลังโดยสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ และนปช.ไม่มีแนวคิดที่จะเคลื่อนขบวนเข้าไปใกล้การชุมนุมของ กปปส. อีกทั้งเราจะไม่ไปชุมนุมหน้าศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนสถานที่ในการชุมนุมใหญ่ครั้งต่อไปนั้นเราได้ดูไว้หลายจุดทั้ง กทม.และปริมณฑล แต่ยังไม่มีการประกาศเป็นทางการ โดยขอรอศาลรัฐธรรมนูญประกาศวันวินิจฉัยก่อน แต่พื้นที่การชุมนุมจะอยู่ในบริเวณที่ประชาชนสามารถตรวจสอบกำลังได้ง่าย โดยเราพิจารณาในเรื่องความปลอดภัย และเงื่อนไขการเผชิญหน้าด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะรับท้าของนายสุเทพในการวัดจำนวนมวลชนและต้องยุติการชุมนุมหากฝ่ายใดมีน้อยกว่าหรือไม่ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ตนไม่มีความคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของประเทศถึงขั้นเอาประเทศไปเดิมพันกับตัวนายสุเทพได้ ใครจะมีมวลชนมากหรือน้อยกว่าอย่างไรนั้นจะต้องยอมรับให้ตรงกันว่าประเทศนี้ต้องปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่างไรก็ตาม กลุ่ม นปช.ยินดีรับคำท้าเดิมพันขบวนการต่อสู้กัน ถ้ากลุ่มของนายสุเทพมีคนมาน้อยกว่าก็ควรต้องเก็บนกหวีดแล้วกลับบ้านไป และเลิกขัดขวางการเลือกตั้งเพื่อให้บ้านเมืองเดินไปตามกติกา แต่ถ้า นปช.มาน้อยว่าก็เป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับและยุติบทบาท แล้วไปทบทวนการเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ส่วน กปปส.จะเดินหน้าอย่างไรก็เป็นเรื่องของประเทศไทยว่าจะยอมตกอยู่ใต้อำนาจของนายสุเทพ หรือไม่ ซึ่งตนหวังว่านายสุเทพจะไม่เปลี่ยนคำพูดภายหลัง