ผบ.ทบ.เผยผู้บัญชาการทหารสูงสุด ยังไม่แจ้งนัดบิ๊กเหล่าทัพ รับคุย “ยิ่งลักษณ์” แต่ไม่ได้ปรึกษาอะไร เชื่อชุมนุมเสาร์ 5 เรื่องปกติ ขออย่าเกิดจลาจล ย้ำวางกำลังป้องกันเหตุทุกฝ่าย เร่งสอบบึ้มมีนบุรีโยงประเด็นใด คาดเกี่ยวจับ 4 ชายพกบึ้มบางนา จี้ จนท.ปฏิบัติเท่าเทียมตรวจค้นจับกุม ไม่มีปล่อยพวกเดียวกัน กำชับ “โอ๋ สืบ 6 - ผวจ.นนท์” แล้ว พร้อมดูวิธีใช้อัยการศึก บอก “ตั้ง อาชีวะ” เดี๋ยวมันก็ติดคุก โยนหน้าที่ ตร.ตามจับ ขอร้องอย่าเร่งอุณหภูมิ หวังเป็นบทเรียนครั้งนี้ครั้งสุดท้าย
วันนี้ (1 เม.ย.) ที่กรมพลาธิการทหารบก เมื่อเวลา 08.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จะนัดหารือกับผู้บัญชาการเหล่าทัพเพื่อหาทางออกให้บ้านเมืองว่า เห็นแต่ข่าวแต่ยังไม่มีการแจ้งมาอย่างเป็นทางการ แต่ตามปกติคุยกันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องประชุมกันบ่อย แต่หากเห็นว่ามีความจำเป็นจึงนัดประชุมกัน เพราะทุกเหล่าทัพมีแนวทางการปฏิบัติอยู่แล้ว ทั้งนี้ก็ได้มีการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีอยู่ แต่ไม่ได้มีอะไร ไม่ได้มีการปรึกษาเพราะนายกรัฐมนตรีไม่ต้องปรึกษาใคร ท่านสามารถสั่งการตนได้ในเรื่องงานในหน้าที่ ส่วนจะมีการหารือเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์การชุมนุมในวันที่ 5 เม.ย.หรือไม่นั้น คิดว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เป็นการชุมนุมของทุกพวกทุกฝ่ายตามปกติเหมือนตลอดหลายปีที่ผ่านมา หน้าที่ของทหารคงไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเงื่อนไขความขัดแย้ง หรือการชุมนุมฝ่ายต่างๆ เพราะหน้าที่ของเราคือการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินไม่ให้เกิดอันตราย บาดเจ็บ หรือสูญเสีย
“เรามีการพูดคุยและหารือกันตลอดผ่านทุกกลไก ทั้งการประชุมประชาคมข่าวกรอง การประชุมของสำนักนโยบาย และแผน การประชุมทุกหน่วยงานของกองทัพ จากแนวทางที่เราได้คุยกันแล้วจึงได้พยายามกำหนดบทบาทให้ชัดเจนขึ้น โดยเน้นหนักเรื่องการดูแลพื้นที่โดยรวม ทั้งพื้นที่จุดตรวจ พื้นที่เฝ้าระวัง พื้นที่ปฐมพยาบาล ที่ผ่านมายังไม่มีปัญหาอะไร แต่อาจจะไม่เข้าใจอยู่บ้าง สิ่งที่ได้เสนอศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) คือ การที่เรามีกำลังพลไปอยู่จำนวนมากในหลายจุดเพื่อป้องกันเหตุในทุกสถานที่ เป็นการป้องกันอย่างครบวงจร ควบคุมดูแล ถนน เส้นทาง การเคลื่อนที่และกลุ่มเป้าหมาย เพราะประชาชนไม่ได้มีแค่ผู้ชุมนุมแต่มีประชาชนที่มีภูมิลำเนา และสัญจรไปมาอยู่บริเวณนั้น อย่าไปมองว่าเราไปวางกำลังให้กลุ่มไหน จะเห็นได้ว่าเราวางกำลังให้ทั้งสองพวก” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจพบระเบิดจำนวนมากในพื้นที่เขตมีนบุรี พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้หารือกับหน่วยข่าวและประชุมร่วมกับ ศอ.รส. ทราบว่ามีความเกี่ยวโยงกับประเด็นใดบ้าง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามหาทางสืบหาต่อไป กองทัพได้นำข้อมูลของเราไปเสนอ คิดว่าน่าจะเชื่อมโยงกับคดีแรกๆ ที่ตำรวจมีการจับกุมผู้ต้องหารวม 4 คนในพื้นที่เขตบางนาเมื่อช่วงเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาด้วย ส่วนเรื่องอื่นไม่ขอพูดเพราะจะมีผลทางคดี สำหรับกรณีที่มีการมองว่ายังมีการตรวจพบพบการนำระเบิดและอาวุธเข้ามาก่อเหตุอย่างต่อเนื่องนั้น มองว่าต่อให้มีกฎหมายร้อยฉบับก็ป้องกันไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะตราบใดคนเหล่านี้ไม่ปรากฏตัวชัดเจน แต่ปลอมปนกับประชาชนที่ร่วมชุมนุม ดังนั้นเจ้าหน้าที่รัฐต้องปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกับทุกฝ่าย ในการตรวจค้น จับกุม
ทั้งนี้ได้พูดคุยกับผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรีแล้ว ท่านยืนยันว่าจะกระทำทุกอย่างด้วยความเป็นธรรม ตนย้ำว่าเราทำกับทุกฝ่าย หากพวกไหนพกอาวุธก็ต้องจับกุม ไม่มีพวกเดียวกันแล้วปล่อย และเราจะไม่เป็นพวกกับผู้ที่พกอาวุธมาทำร้ายเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์ คนพวกนี้ถือว่าอันตราย ส่วนแนวโน้มการประกาศกฎอัยการศึกนั้น ขอไปศึกษากฎหมายดูว่าหากเกิดกรณีใดจึงจะประกาศได้ แต่ขออย่าให้เกิดเหตุ สำหรับที่เกรงว่าวันที่ 5 เม.ย.จะเกิดจลาจลนั้น ขออย่าให้เกิด ซึ่งเรื่องนี้จะมาสมมุติไม่ได้
เมื่อถามถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่จับกุมนายเอกภพ เหลือรา หรือตั้ง อาชีวะ ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนไม่ติดใจเพราะเดี๋ยวมันก็ติดคุกอยู่ดี เนื่องจากมีหมายศาล และหมายจับ ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของตน เพราะการจับกุมเป็นหน้าที่ของตำรวจ ในส่วนของกองทัพ คือร้องทุกข์ แจ้งความ กล่าวโทษ ในฐานะของรอง ผอ.รมน.มีหน้าที่บูรณาการ ประสานงาน มอบอำนาจในการสั่งการในลักษณะของใช้กำลัง เพื่อดูแลในลักษณะป้องกัน ทั้งนี้ อย่านำทุกอย่างพันกัน ไม่เช่นนั้นจะแย่ไปกันหมด ถ้าตนพูดไปก็จะไปขัดแย้งกับคนอื่นๆ จิตปรารถนาของตนคือให้ทุกอย่างลดระดับลง ทหารจะได้ทำงานได้สะดวกขึ้น ประชาชนก็ลดแรงกดดันลง ขอร้องว่าอย่าพยายามเร่งอุณหภูมิให้มากนัก ประชาชนไม่รู้เรื่องด้วย สู้กันแล้วได้อะไรขึ้นมา เพราะยังไม่รู้เลยว่าสู้เพื่อใคร เราต้องให้ประเทศชาติไปได้ และขอให้เป็นบทเรียน ครั้งหน้าจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ครั้งนี้ขอให้เป็นครั้งสุดท้าย