กระแสแยกแผ่นดินแบ่งประเทศที่แกนนำคนเสื้อแดงบางส่วนในจังหวัดภาคเหนือและภาคอีสาน รวมทั้งแกนนำของพรรคเพือไทยจุดขึ้นมา ในแง่หนึ่งอาจจะเป็นการสะท้อน อุดมการณ์“ รัฐไทยใหม่” ที่เป็นความใฝ่ฝันของพวกนักคิดอดีต ฝ่ายซ้ายที่ฝังตัวอยู่ในขบวนการคนเสื้อแดง
ถึงแม้ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเสื้อแดงจะแยกภาคเหนือของประเทศไทยออกไปเป็นรัฐเชียงใหม่ สปป.ล้านนา ภาคอีสานเป็นรัฐโคราช รัฐขอนแก่น สปป.ล้านช้าง เพราะขัดแย้งกับความเป็นจริงทางสังคมเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน แต่กระแสแยกแผ่นดินแบ่งประเทศก็จุดติด ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนมากพอสมควร
อีกแง่หนึ่ง กระแสแยกแผ่นดินแบ่งประเทศของคนเสื้อแดงเป็นการสะท้อนความอับจนของขบวนการคนเสื้อแดงในขณะนี้ ที่ไม่รู้ว่าจะใช้ประเด็นอะไรในการต่อสู้ทางความคิดกับ กปปส.เพื่อรักษาระบอบทักษิณเอาไว้ให้ได้
จะใช้มุกเก่า สงครามไพร่โค่นอำมาตย์ ก็ไม่ได้แล้ว เพราะแกนนำ นปช.หลายคนได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นอำมาตย์อย่างสมบูรณ์แบบ ใส่ชุดขาวพร้อมสายสะพาย ติดเหรียญตรา แถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์เต็มยศ
จะใช้ความรุนแรงเผาบ้านเผาเมือง ฆ่าคนเสื้อแดงกันเองแบบปี 2552-2553 ก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน เพราะตัวเองเป็นรัฐบาล เดี๋ยวไฟจะไหม้บ้านตัวเอง
จะระดมคนมาชุมนุมเป็นแสนเป็นล้าน ให้แดงทั้งแผ่นดิน ก็ได้พิสูจน์กันแล้วว่า หลายๆ ครั้งที่ผ่านมา นับตั้งแต่การชุมนุมของ กปปส.เมื่อ 4 เดือนก่อน แกนนำ นปช.ประกาศระดมพล ชุมนุมคนเสื้อแดงเพื่อปกป้องระบอบทักษิณ ทุกคนล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า เพราะทุกครั้งไม่มีคนมา มีแต่แกนนำและเก้าอี้สีแดงที่ว่างเปล่าเต็มพื้นที่ชุมุนม
ขบวนการคนเสื้อแดงที่บรรดานักวิชาการเสื้อแดงนั่งร้านของระบอบทักษิณเคยชื่นชมเชิดชูว่าเป็นชนชั้นกลางใหม่ที่ตื่นรู้แล้ว เป็นพลังประชาธิปไตยใหม่ที่ต้องการมีส่วนร่วมทางการเมืองด้วยตนเอง วันนี้ ปลุกไม่ขึ้น จิตวิญญาณที่จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่พวกนักวิชาการพยายามยัดเยียดให้คนเสื้อแดง สูญหายไปจหมด
อันที่จริง สองสามปีที่ผ่านมาที่ระบอบทักษิณครองอำนาจเกือบจะเบ็ดเสร็จ ขบวนการคนเสื้อแดงควรจะเติบใหญ่เข้มแข็ง เพราะได้รับการสนับสนุนอุ้มชูจากอำนาจรัฐ แกนนำหลายๆ คนได้มีบทบาทระดับต่างๆ กันในรัฐบาล แต่กลับกลายเป็นว่า สองสามปีที่ผ่านมา ขบวนการคนเสื้อแดง กลับถดถอย เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นยา หรือของกิน ก็เป็นยา ของกินที่หมดอายุ ก่อนเวลาที่กำหนด
ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่า ขบวนการคนเสื้อแดงนั้น คือ ของเก๊มาตั้งแต่แรกแล้ว การชุมนุมเพื่อต่อต้านรัฐประหาร เพื่อปกป้องประชาธิปไตย ทำสงครามโค่นอำมาตย์ เป็นเพียงคำโฆษณาชวนเชื่อ แท้จริงแล้ว คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ ถูกเกณฑ์มา ถูกว่าจ้างมา เป็นเครื่องมือเพื่อโค่นล้มรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2552-2553 เท่านั้นเอง
เมื่อระบอบทักษิณกลับเข้าสู่อำนาจ โดยผ่านระบอบเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง คนเสื้อแดงก็หมดประโยชน์ เหมือนกระดาษชำระ ที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียวก็ต้องโยนทิ้งไป ไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก ภารกิจของคนเสื้อแดงคือเป็นบันไดให้ระบอบทักษิณเหยียบย่ำขึ้นไปสู่อำนาจ เมื่อพรรคเพือ่ไทยได้เป็นรัฐบาล ภารกิจของคนเสื้อแดงก็จบลง คนที่ตายก็ได้ค่าจ้างศพละ 7.5 ล้านบาท แกนนำได้ปูนบำเหน็จกันถ้วนหน้า เป็น ส.ส. เป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ คนที่ไม่ได้เป็นก็ได้รับผลประโยชน์จากการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐ กินค่าหัวคิวจากกองทุนหมู่บ้าน กองทุนพัฒนาสตรี โครงการจำนำข้าว ฯลฯ
นช.ทักษิณ ชินวัตรเองนั่นแหละ ที่เป็นคนแรกที่ถีบหัวเรือส่ง ด้วยการประกาศอย่างเปิดเผยว่า บทบาทของคนเสื้อแดงจบแล้ว ขอให้ทุกคนกลับบ้าน ไม่ต้องมายุ่งกับเขาอีก เขามาถึงฝั่งแล้ว จะนั่งรถโฟร์วีลขึ้นเขาไปเจรจากับอำมาตย์เอง แล้ว นช. ทักษิณก็สั่งให้ลิ่วล้อเขียนกฎหมายนิรโทษกรรมให้ตัวเองพ้นผิดคดีคอร์รัปชั่น โดยไม่สนใจว่า การทำเช่นนี้เป็นการตัดโอกาสที่ คนเสื้อแดงที่ถูกดำเนินคดีอันเนื่องมาจากการชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองเมื่อปี 2553 จะได้รับนิรโทษกรรม เพราะร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะถูกต่อต้านจากประชาชน จนไม่สามารถออกเป็นกฎหมายได้ ซึ่งในที่สุดก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
หาก นช.ทักษิณไม่เห็นแก่ตัว แก้ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษเพื่อตัวเอง ป่านนี้คนเสื้อแดงที่ถูกศาลตัดสินจำคุกหลายๆ คน คงได้รับอิสรภาพนานแล้ว แทนที่จะยังถูกจองจำอยู่ต่อไป
ในสถานการณ์ที่ระบอบทักษิณกำลังดิ้นรนรักษาอำนาจ ถ้าขบวนการคนเสื้อแดงเป็นของจริงที่มีความคิดอุดมการณ์ของตนเองไม่ได้ถูกจ้างมา ถูกหลอกมา ป่านนี้เสื้อแดงเต็มทั้งแผ่นดินแล้ว ไม่ปล่อยให้นายกฯ นกแก้ว สู้เพื่อประชาธิปไตยอยู่คนเดียวหรอก