ผู้บัญชาการทหารเรือ ปธ.เปิดฝึกกองทัพประจำปี เผยเร่งสอบรวบ 2 หน่วยซีลชายแดนใต้โผล่เที่ยวกรุง พร้อมส่งกลับหน่วยแล้ว ถ้าผิดจริงต้องฟัน รับหนักใจภาพลักษณ์ถูกมองเอี่ยวม็อบ แต่คาดคงมาช่วยดูแลผู้ชุมนุม ยันไม่ห้ามไปฟังแต่ถ้ามีเหตุต้องหลีกเลี่ยง ไม่คิดถูกพุ่งเป้า ไม่รู้ นสร.เป็นพ่อค้าป็อปคอร์น โอด “ยิ่งลักษณ์” บี้แจงกระทบขวัญกำลังใจ ทร. แต่พร้อมเคลียร์ เผยสถานการณ์เข้าสู่โหมดเจรจาแล้ว
วันนี้ (28 ก.พ.) ที่หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เมื่อเวลา 10.30 น. พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกกองทัพเรือประจำปี 2557 โดยจัดให้มีการสาธิตการปฏิบัติการโจมตีโฉบฉวยสะเทินน้ำสะเทินบก การแทรกซึม การช่วยเหลือบุคคลสำคัญ การนำบุคคลเป้าหมายถอนตัวกลับด้วยเฮลิคอปเตอร์และเรือปฏิบัติการความเร็วสูง สำหรับการฝึกกองทัพเรือประจำปี 57 เป็นการฝึกภายในประเทศของหน่วยต่างๆ ในกองทัพเรือ จากส่วนบัญชาการ ส่วนยุทธบริการและส่วนการศึกษารวม 21 หน่วย โดยจะทำการฝึกตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค.ถึง 21 พ.ค. ณ พื้นที่ฝึกบริเวณที่ตั้งหน่วยพื้นที่ปฏิบัติการและพื้นที่ฝึกของกองทัพเรือ โดยมี พล.ร.อ.จักรชัย ภู่เจริญยศ รอง ผบ.ทร.เป็นผู้อำนวยการฝึก
ทั้งนี้ พล.ร.อ.ณรงค์กล่าวว่า การฝึกกองทัพเรือประจำปี 2557 ถือว่าเป็นการฝึกครั้งใหญ่ของกองทัพเรือ โดยกองทัพเรือจัดให้มีการฝึกในทุกปี ซึ่งการฝึกแต่ละครั้งรวมถึงครั้งนี้จะเป็นการฝึกเพื่อบูรณาการทุกหน่วยในกองทัพเรือ เช่น กรมฝ่ายอำนวยการ ในเรื่องของการจัดทำแผนงานต่างๆ รวมถึงแผนยุทธการ ในส่วนของฝ่ายกำลังรบมีการใช้กำลังทางเรือบินน้ำ กำลังทางอากาศยานและกำลังทางบก โดยทุกส่วนที่เกี่ยวข้องจะช่วยกันบูรณาการกองทัพเรือ ที่ผ่านมาการฝึกนัันเพื่อทำให้กำลังพลมีความรู้ มีประสบการณ์ในการปฏิบัติมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีการสับเปลี่ยนกำลังพลเข้ามาใหม่ทุกปี จึงต้องให้กำลังพลที่เข้ามาใหม่ได้มีประสบการณ์ด้วย เมื่อมีเหตุที่ต้องใช้กำลังพล ตามแผนป้องกันประเทศ
ต่อมาเมื่อเวลา 12.30 น. ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมกำลังพล 2 นายของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ (นสร.) พร้อมอาวุธว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน เพราะกำลังพลทั้ง 2 นายมีชื่อปฏิบัติงานอยู่ที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ตัวกลับมาอยู่ที่ กทม. ขณะนี้ได้ส่งตัวกลับไปที่หน่วยและให้ทางหน่วยตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาเพื่อดูว่าเหตุใดตัวถึงมาอยู่ที่ กทม. รวมทั้งมีเหตุผลหรือเป็นชุดที่ขึ้นมาพักหรือไม่ เมื่อได้ความจริงคงต้องพิจารณา หากมีความผิดจริงก็ต้องดำเนินการตามระเบียบข้อบังคับที่กำหนดไว้ว่าใครทำอะไรแล้วจะต้องรับผลอย่างไรบ้าง ทั้งนี้รู้สึกหนักใจบ้างต่อภาพลักษณ์ของกองทัพเรือที่ออกไป เพราะหลายคนมองว่าทหารเรือเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ตนก็ยังมั่นใจในตัวกำลังพลของกองทัพ ถ้ากำลังพลส่วนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องจริงในเรื่องการเข้ามาชุมนุม ก็ไม่น่าจะเป็นกำลังพลที่เข้าไปทำอันตรายประชาชน แต่อาจจะมาดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับการชุมนุม ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่คาดเดา แต่ข้อเท็จจริงต้องมีการสอบสวนกำลังพลเหล่านั้นอีกครั้งว่ามาทำอะไร
เมื่อถามว่า ได้เน้นย้ำกำลังพลในการวางตัวการชุมนุมครั้งนี้อย่างไร พล.ร.อ.ณรงค์กล่าวว่า ได้ย้ำมาตลอดตั้งแต่เริ่มมีการชุมนุม โดยย้ำกับหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงในการประชุม รวมถึงมีการจัดทำเอกสารให้กำลังพลหลีกเลี่ยงที่จะไปดำเนินการเกี่ยวข้องกับการชุมนุม เพราะเราอยู่ในสถานภาพเป็นทหารที่ไม่ควรแสดงบทบาทอื่นใด ส่วนเวลานอกราชการนั้น ต้องดูว่าการชุมนุมเป็นไปในลักษณะใด ถ้าย้อนไปดูตั้งแต่เริ่มแรกเป็นการชุมนุมในลักษณะปราศรัยและแสดงความคิดเห็น สามารถไปฟังได้ไม่ได้ห้ามอะไร แต่เมื่อสถานการณ์รุนแรงขึ้นต้องหลีกเลียงไม่เข้าไปเกี่ยวข้องโดยเด็ดขาด ซึ่งมีข้อบังคับอยู่ไม่ใช่ว่านอกเวลางานแล้วจะทำอะไรได้หมด ต้องดูสถานะภาพของเราด้วย
เมื่อถามว่า มองว่าเป็นเกมการเมืองพุ่งเป้ามาจับผิดทหารเรือหรือไม่ พล.ร.อ.ณรงค์กล่าวว่า ไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น เพราะทหารเรือไม่เคยเข้าไปมีบทบาทนำทางด้านการเมือง อาจจะเป็นเพราะมีเหตุการณ์เกิดขึ้น 1-2 ครั้ง ทำให้คนเพ่งเล็ง แต่ยืนยันว่าในส่วนรวมของกองทัพเรือไม่ได้เข้าไปมีบทบาทอะไร เมื่อถามถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่านักรบป๊อบคอร์นเป็นกำลังพลของ นสร. พล.ร.อ.ณรงค์กล่าวว่า ไม่ทราบเหมือนกัน ต้องถามเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เมื่อถามถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีสั่งให้ชี้แจงเรื่องที่มีกำลังพลของกองทัพเรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับการชุมนุม พล.ร.อ.ณรงค์กล่าวว่า ยังไม่ทราบเรื่อง ทั้งนี้คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจและภาพลักษณ์ของกำลังพลกองทัพเรือ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อภาพรวมของกำลังพลของกองทัพเรือส่วนใหญ่ ซึ่งต้องทำความเข้าใจต่อไปว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเกิดจากกำลังบางส่วนที่เป็นส่วนน้อยเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องบ้าง ส่วนข้อเท็จจริงก็ต้องสืบสวนต่อไป เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน
เมื่อถามถึงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์การเมืองที่มีความรุนแรงมากขึ้น พล.ร.อ.ณรงค์กล่าวว่า ไม่เป็นห่วง เท่าที่ติดตามคิดว่าทั้งสองฝ่ายที่คู่ขัดแย้งน่าจะเข้าสู่เวทีการเจรจา เพราะจะเป็นผลดี ส่วนตัวคิดว่าการเจรจาเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมก็น่าจะอยู่ในวงจำกัด แต่น่าจะเป็นผลที่ดีต่อประเทศ