รายงานการเมือง
ปฏิบัติการทวงคืนพื้นที่ของศูนย์รักษาความสงบ(ศรส.)ภายใต้การสั่งการของเฉลิมอยู่บำรุง ผอ.ศรส.ที่กำลังโดนกดดันอย่างหนัก จึงทำให้ ศรส.ต้องเร่งเอาคืนพื้นที่สำคัญบางส่วนโดยเร็ว
แรงกดดันที่โถมลงมาจากทักษิณ ชินวัตรและแกนนำพรรคเพื่อไทยหลายส่วน แม้แต่แกนนำเสื้อแดงที่เห็นว่าเฉลิมทำงานไร้ประสิทธิภาพทำไม่ได้อย่างที่คุยโวกับการควบคุมสถานการณ์ของมวลชน กปปส.จนกดดันเฉลิมอย่างหนักให้เร่งทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อแสดงให้เห็นว่า ศรส.มีน้ำยา
ยิ่งในวันที่ 19 ก.พ. ศาลแพ่งได้นัดฟังคำสั่งในคดีที่ถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ร.ต.อ.เฉลิมอยู่บำรุง รมว.แรงงาน ในฐานะ ผอ.ศรส. และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ในฐานะรอง ผอ.ศรส.เป็นจำเลยที่ 1-3 เรื่องละเมิดจากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ กทม. และปริมณฑลและออกข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยมิชอบและยังไม่มีเหตุจำเป็นที่คำสั่งของศาลแพ่งอาจมีผลต่อการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ของรัฐบาล เพราะเกรงหากมีคำสั่งศาลออกมาแล้วจะทำอะไรไม่ได้สะดวก ศรส.เลยชิงลุยตัดหน้าก่อนที่ศาลแพ่งจะชี้อย่างหนึ่งอย่างใดออกมา
การเข้าขอคืนพื้นที่ของตำรวจที่ ศรส.ระดมตำรวจมาร่วม 25,000 ราย เพื่อทำภารกิจนี้เมื่อ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา ชัดเจนจากภาพข่าวที่สื่อทีวีดาวเทียมบางแห่งได้ถ่ายทอดสดปฏิบัติการครั้งนี้ว่าตำรวจได้กระทำการรุนแรงเกินควรโดยไม่จำเป็นทั้งที่ประชาชนปักหลักชุมนุมต่อต้านการขอคืนพื้นที่ของตำรวจโดยสันติและมือเปล่าแต่ตำรวจก็ยังไม่ยอมลดละมีการฝ่ากำแพงมนุษย์โดยเฉพาะบริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ ที่เป็นจุดซึ่งกองทัพธรรมปักหลักชุมนุมโดยสันติมาหลายเดือน
จนทำให้สถานการณ์ตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงสายมีความตึงเครียดโดยไม่จำเป็นส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บทั้งฝ่ายตำรวจ-ประชาชน-สื่อมวลชนจำนวนมากซึ่งก็จะเห็นได้จากภาพที่สื่อมีการถ่ายทอดสดในช่วงที่ตำรวจเข้าตรึงพื้นที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าว่าประชาชนไม่ได้มีการใช้อาวุธหรือความรุนแรงตอบโต้ใดๆ แต่สุดท้ายในช่วงชุลมุนที่มีการยิงแก๊สน้ำตาและมีเสียงปืนดังต่อเนื่องโดยไม่สามารถระบุชัดได้ว่าเป็นฝีมือของกลุ่มไหน ความรุนแรงในบริเวณนี้เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมากและมีผู้ชุมนุมเสียชีวิต 2 คน ตำรวจเสียชีวิตหนึ่งราย
ขณะที่ในบางจุดการชุมนุมเช่นที่หน้ากระทรวงพลังงาน-ที่ทำการของสำนักงานใหญ่บริษัท ปตท.ที่กองทัพประชาชนและเครือข่ายปฏิรูปพลังงาน (กคป.) ปักหลักมาหลายสัปดาห์ตำรวจก็ยึดพื้นที่ไปได้พร้อมกับควบคุมตัว นพ.ระวี มาศฉมาดล แกนนำ กคป.และประชาชนจำนวนมากไปสอบสวนและแจ้งความดำเนินคดี
ส่วนสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำ คปท.และ กปปส.ที่ถูกตำรวจควบคุมไว้ได้ขณะนำกำลังเข้าสลายพื้นที่การชุมนุมของกองทัพธรรมบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ โดยที่สมเกียรติได้ให้ตำรวจควบคุมตัวโดยดีไม่ได้มีการขัดขืนหรือใช้กำลังตอบโต้ แต่สุดท้ายการ์ด คปท.ก็เข้าไปช่วยออกมาจากรถขังผู้ต้องหาได้ในจังหวะชุลมุนก่อนที่สถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายในช่วงบ่ายเพราะตำรวจได้ถอยร่นกลับที่ตั้งเพราะถูกมวลชนลุกฮือขับไล่จนทำให้ขบวนตำรวจที่ตั้งหลักกันที่บริเวณถนนราชดำเนินต้องถอยทัพกลับกองบัญชาการตำรวจ นครบาลไปในที่สุด
สถานการณ์การชุมนุมของมวลชนจะดำเนินหลังจากนี้เป็นอย่างไรน่าจับตามองอย่างยิ่งเพราะดูแล้วฝ่าย ศรส.ยังคงบ้าคลั่งจะขอคืนพื้นที่ให้ได้โดยเร็ว
นอกจากนี้ยังต้องดูท่าทีของแกนนำ กปปส.ด้วยว่าจะเอาอย่างไรกันต่อไปเพราะเดิมสุเทพ เทือกสุบรรณเลขาธิการ กปปส.ได้ประกาศนัดหมายมวลชนอีกครั้งหนึ่งให้มารวมตัวกันในวันที่ 19 ก.พ.นี้ที่สุเทพประกาศบนเวทีปราศรัย กปปส.เมื่อ 17 ก.พ.ไว้ตอนหนึ่งว่าจะเป็นนัดหมายที่สำคัญ
"ในวันที่ 19 ก.พ. ขอระดมทุกคนรบแตกหักกับรัฐบาล และขอให้ กปปส.ทั่วประเทศเดินทางมาชุมนุมพร้อมกับคน กรุงเทพฯ ในทุกเวทีของ กปปส.ในกรุงเทพฯ เพราะรัฐบาลอยู่ไม่ได้แล้ว เพราะชาวนา, ธนาคารและระบบเศรษฐกิจเจ๊งเพื่อให้อำนาจเป็นของประชาชน และไม่ให้มันมีแผ่นดินอยู่"
ต้องดูว่าจากภาพเหตุการณ์ตำรวจใช้ความรุนแรงโดยไม่จำเป็นในการขอคืนพื้นที่กับประชาชนจะทำให้มวลชนจำนวนมากรู้สึกทนไม่ได้แล้วออกมาร่วมชุมนุมกับ กปปส.ในวันที่ 19 ก.พ.นี้มากน้อยแค่ไหน
กระนั้นประเมินแล้วหลังเกิดเหตุปะทะกันที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าเมื่อ 18 ก.พ. ทั้งฝ่ายรัฐบาลและ กปปส.คงต้องคิดหนักหากจะเปิดฉากแตกหักกันไปข้างเพราะเหตุการณ์เมื่อ 18 ก.พ.ที่มีผู้บาดเจ็บ-เสียชีวิตถือว่าเป็นความรุนแรงและสูญเสียที่ฝ่าย ศรส.เองก็คงคาดไม่ถึง ทำให้ดูแล้วแกนนำทั้งสองฝ่ายคงกำลังประเมินกำลังกันของแต่ละฝ่ายกันอยู่ว่าจะเอายังไงกันดี
แต่สถานการณ์ก็อาจยังไม่ถึงขั้นแตกหักในช่วงนี้ต้องรอไปอีกสักระยะ เว้นแต่หากมีสถานการณ์แทรกซ้อนก็อาจทำให้สถานการ์พลิกผันได้แบบใครก็คาดไม่ถึง
นอกจากนี้ก็ต้องดูด้วยว่าในส่วนของแนวร่วมกลุ่มชาวนาทั่วประเทศที่เคลื่อนไหวในรูปของเครือข่ายชาวนาไทยที่มีนายระวี รุ่งเรือง ประธานศูนย์ข้าวภาคตะวันตกและประธานเครือข่ายชาวนาไทยจะมีท่าทีอย่างไรในการทวงเงินค่าข้าวจากรัฐบาลโดยเฉพาะการดึงแนวร่วมชาวนาทั่วประเทศให้ออกมาร่วมเคลื่อนไหวกับเครือข่ายชาวนาไทยที่ปักหลักกันที่กระทรวงพาณิชย์สนามบินน้ำ
ต้องยอมรับกันว่าชาวนาที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลจ่ายเงินค่าจำนำข้าวกับเครือข่ายชาวนาไทยที่ ก.พาณิชย์ยังน้อยเกินไป หากจะเคลื่อนให้มีพลังจะต้องมีแนวร่วมชาวนามาให้มากกว่านี้ยิ่งเริ่มมีข่าวแกนนำชาวนาบางส่วนแตกคอกันเองในเรื่องทิศทางการนำ ก็ยิ่งทำให้ฝ่ายรัฐบาลดูจะไม่ค่อยหนักใจกับเคลื่อนไหวของเครือข่ายชาวนาไทยมากนัก
ตรงนี้แกนนำเครือข่ายชาวนาก็ต้องปรับทิศทางการเคลื่อนไหวโดยด่วนเพื่อให้เป็นการเคลื่อนไหวที่ทรงพลังมากขึ้น
ขณะที่ในส่วนของฝ่ายรัฐบาลเพื่อไทย ที่น่าสนใจก็คือท่าทีของฝ่ายพวกอดีต ส.ส.ภาคอีสานเพื่อไทยที่เริ่มเคลื่อนไหวจะออกมาชนกับ กปปส.กันแล้ว ภายใต้การจะจัดตั้งเครือข่ายขบวนการคนอีสานปกป้องประชาธิปไตย
อันเป็นความเคลื่อนไหวของพวกอดีต ส.ส.อีสานที่ก็คือพวกว่าที่ ส.ส.อีสานเพื่อไทยหลังการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57 หากไม่เป็นโมฆะ ที่ไปสุมหัวกันเมื่อ 17 ก.พ.ที่ผ่านมาที่โรงแรมหนองหานดิแอลลิแกนท์ จ.สกลนคร ภายใต้การนำของอดีต ส.ส.อีสานหลายสมัย เช่น ไพจิต ศรีวรขาน อดีต ส.ส.นครพนม, ขจิต ชัยนิคม อดีต ส.ส.อุดรธานี , นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแกนนำ นปช.ขอนแก่น ที่เห็นร่วมกันให้ตั้งเครือข่ายขบวนการคนอีสานปกป้องประชาธิปไตยโดยจะเริ่มเปิดตัวทำกิจกรรมกันครั้งแรกในวันที่ 22 ก.พ.นี้เพื่อทำกิจกรรมไปร่วมกันสักการะดวงวิญญาณขุนพลภูพาน เตียง ศิริขันธ์ ที่ลานอนุสาวรีย์ภูพาน จ.สกลนคร
โดยแกนนำเครือข่ายขบวนการคนอีสานปกป้องประชาธิปไตยอย่าง นพ.เชิดชัย ที่เป็นพวกแดงฮาร์ดคอร์คนหนึ่งออกมาขู่ว่าพร้อมกับการจะจัดตั้งมวลชนเข้าไปชนกับมวลชน กปปส.ที่กรุงเทพมหานครแถมขู่จะยกพวกไปปิดล้อมสถานที่ทำงานขององค์กรอิสระบางแห่งด้วย
และพบว่าแนวคิดการเมืองแบบภาคนิยมโดยเอาฐานที่มั่นของพรรคเพื่อไทยคือภาคอีสานและภาคเหนือมาสร้างแนวคิดแบบแบ่งภาคการเมืองคอยตอกลิ่มความแตกแยกของคนในประเทศกันแบบนี้ ได้รับการขานรับจากพวกนักการเมืองพรรคเพื่อไทยโดยเฉพาะอดีต ส.ส.เป็นอย่างดี จนมีเสียงขานรับจากอดีต ส.ส.ภาคเหนือของเพื่อไทยว่าเห็นด้วยกับแนวคิดของอดีต ส.ส.อีสาน และอาจให้อดีต ส.ส.ภาคเหนือไปรวมกลุ่มอดีต ส.ส.อีสานเพื่อร่วมมือกันจัดตั้ง
“เครือข่ายอีสานล้านนา”เพื่อชนกับฝายสุเทพและ กปปส.
เมื่อเป็นเช่นนี้ฝ่าย กปปส.ก็ไม่ถอย ยังยืนหยัดในแนวทางการต่อสู้ของตัวเอง ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลเพื่อไทยก็กำลังเลือดเข้าตา ความอดทนเริ่มลดน้อยลง แนวโน้มการเผชิญหน้าแบบแตกหักคงเกิดขึ้นในไม่ช้า!