โฆษกเพื่อไทย ยื่น กกต.ยุบพรรคประชาธิปัตย์ อ้างจากการตรวจสอบข้อมูลพบแบ่งหน้าที่กันทำกับ กปปส.ในการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (5 ก.พ.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เดินทางมายื่นหนังสือต่อนายศุภชัย สมเจริญ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง รวมทั้งยื่นหนังสือต่อ กกต.ขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค โดยมีนายอำนวย น้อยโสภา รอง ผอ.สำนักเลขานุการ กกต.เป็นผู้รับเรื่อง
นายพร้อมพงศ์อ้างว่า การชุมนุมของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.กับพวกรวม 9 คนตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค. 2556 เป็นการกระทำที่ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้ได้มาซึ่งอำนาจเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ตอนนี้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าศาลอาญาได้ออกหมายจับในข้อหากบฏ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่ามีการแบ่งแยกหน้าที่กันทำกับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์จำนวน 25 คน โดยทำงานสอดคล้องคู่ขนานกัน
โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2556 นายสุเทพชุมนุมต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน วันที่ 8 ธ.ค. 2556 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นำ ส.ส.ลาออกเพื่อกดดันรัฐบาล วันที่ 9 ธ.ค. 2556 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรียุบสภา หลังจากนั้นนายอภิสิทธิ์และสมาชิกพรรคบอยคอตการเลือกตั้ง โดยมีสมาชิกพรรคและแกนนำเป็นกรรมการบริหารพรรค 10 คน อาทิ นายอภิสิทธิ์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และแกนนำพรรคอีก 15 คน รวม 25 คน น่าจะร่วมชุมนุมและสนับสนุนการเคลื่อนไหวของนายสุเทพกับพวก ถือว่าไม่ได้ทำหน้าที่ของพรรคการเมือง ขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ตามมาตรา 94 (1), (2), (3) และ (4)
“ผมมีหลักฐานเป็นภาพ คลิปเสียง และหลักฐานการถอดเทป จำนวนกว่า 1,000 หน้า ล่าสุดนายอภิสิทธิ์ได้ให้สมาชิกพรรคไปยื่นต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน และศาลรัฐธรรมนูญให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ เป็นการเผยเจตนาที่แท้จริง เห็นได้ชัดว่าน่าจะเป็นตัวการร่วมสนับสนุนกลุ่มผู้ชุมนุมให้บรรลุเป้าหมาย คือล้มล้างรัฐบาลให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองโดยไม่ถูกต้องตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ” นายพร้อมพงศ์กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบพบว่าการชุมนุมของนายสุเทพอ้างการปฏิรูปการเมืองบังหน้า ดังนั้นการกระทำของนายอภิสิทธิ์และแกนนำพรรคน่าจะผิดกฎหมาย ดังนั้น นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องตรวจสอบการกระทำต่างกรรมต่างวาระ และร้องต่ออัยการสูงสุดและศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรคประชาธิปัตย์”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (5 ก.พ.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เดินทางมายื่นหนังสือต่อนายศุภชัย สมเจริญ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง รวมทั้งยื่นหนังสือต่อ กกต.ขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค โดยมีนายอำนวย น้อยโสภา รอง ผอ.สำนักเลขานุการ กกต.เป็นผู้รับเรื่อง
นายพร้อมพงศ์อ้างว่า การชุมนุมของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.กับพวกรวม 9 คนตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค. 2556 เป็นการกระทำที่ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้ได้มาซึ่งอำนาจเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ตอนนี้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าศาลอาญาได้ออกหมายจับในข้อหากบฏ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่ามีการแบ่งแยกหน้าที่กันทำกับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์จำนวน 25 คน โดยทำงานสอดคล้องคู่ขนานกัน
โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2556 นายสุเทพชุมนุมต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน วันที่ 8 ธ.ค. 2556 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นำ ส.ส.ลาออกเพื่อกดดันรัฐบาล วันที่ 9 ธ.ค. 2556 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรียุบสภา หลังจากนั้นนายอภิสิทธิ์และสมาชิกพรรคบอยคอตการเลือกตั้ง โดยมีสมาชิกพรรคและแกนนำเป็นกรรมการบริหารพรรค 10 คน อาทิ นายอภิสิทธิ์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และแกนนำพรรคอีก 15 คน รวม 25 คน น่าจะร่วมชุมนุมและสนับสนุนการเคลื่อนไหวของนายสุเทพกับพวก ถือว่าไม่ได้ทำหน้าที่ของพรรคการเมือง ขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ตามมาตรา 94 (1), (2), (3) และ (4)
“ผมมีหลักฐานเป็นภาพ คลิปเสียง และหลักฐานการถอดเทป จำนวนกว่า 1,000 หน้า ล่าสุดนายอภิสิทธิ์ได้ให้สมาชิกพรรคไปยื่นต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน และศาลรัฐธรรมนูญให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ เป็นการเผยเจตนาที่แท้จริง เห็นได้ชัดว่าน่าจะเป็นตัวการร่วมสนับสนุนกลุ่มผู้ชุมนุมให้บรรลุเป้าหมาย คือล้มล้างรัฐบาลให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองโดยไม่ถูกต้องตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ” นายพร้อมพงศ์กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบพบว่าการชุมนุมของนายสุเทพอ้างการปฏิรูปการเมืองบังหน้า ดังนั้นการกระทำของนายอภิสิทธิ์และแกนนำพรรคน่าจะผิดกฎหมาย ดังนั้น นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องตรวจสอบการกระทำต่างกรรมต่างวาระ และร้องต่ออัยการสูงสุดและศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรคประชาธิปัตย์”
