ผ่าประเด็นร้อน
จะเรียกว่าเวรกรรมตามมาทันตาเห็นก็เป็นได้ ที่เราได้เห็นบรรดาชาวนา คนรากหญ้าที่เคยเป็นฐานเสียง คนสนับสนุนสำคัญที่สุด จนทำให้ ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวเข้าสู่อำนาจ ครองอำนาจแบบเบ็ดเสร็จได้คนแล้วคนเล่า ทั้งที่บางคนอย่างเช่น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำประเทศ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ขอโทษเถอะ! ด้วยสติปัญญาที่พิสูจน์ให้เห็นทั้งจากการพูด และการกระทำ รวมทั้งวุฒิภาวะที่แสดงออกมามันมีแค่ “หางอึ่ง” เพราะอย่าว่าแต่จะเป็นนายกฯแค่ตำแหน่ง “เสมียน” ในสำนักงานทั่วไปเชื่อว่าหากลองมาเทียบเคียงกันน่าจะเหนือกว่าหลายช่วงตัว
แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับเป็นเพราะเธอเป็นคนในครอบครัวของ ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นพี่ชายของเธอ ได้รับการ “สร้างภาพอำพราง” เรื่อยมาว่า “เก่งสุดยอด” ด้วยค่านิยมที่ว่า “รวยแล้วต้องเก่ง” และสำทับด้วยคำโกหกที่ว่า “รวยแล้วไม่โกง” หาความนิยมด้วยการ “ซื้อ” ในระยะแรกอาจใช้เงินส่วนตัวที่โกงมาจาก “ธุรกิจสัมปทานผูกขาด” ซื้อ ส.ส.ซื้อยกพรรคการเมือง เพื่อเบิกทางเข้าสู่อำนาจ ขณะเดียวกันก็ใช้วิธีซื้อสื่อ ปิดปากสื่อควบคู่กันไปด้วย
ประกอบกับนิสัยขี้โม้ ขี้แอ็กต์ พูดจาโผงผาง ชี้หน้าด่าทอตำหนิข้าราชการระดับสูง (บางคน) เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมให้กับชาวบ้านที่รู้สึกเกลียดข้าราชการพวกนี้ในตอนแรกๆ เช่น ด่าตำรวจโชว์ ด่าผู้ว่าราชการจังหวัดโชว์ ทางหนึ่งทำให้ชาวบ้านถูกใจปรบมือเกรียวกราวว่า “เออ ไอ้ทักษิณมันแน่วะไม่ไว้หน้าข้าราชการที่ไม่รับใช้ประชาชน” ทำงาน สั่งการฉับไว ติดตามปัญหาตลอดเวลา” ภาพจะออกมาแบบนั้น ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่มีผู้นำคนใดแสดงออกมาให้เห็น หรือถ้ามีก็ “ไม่มีการโปรโมตทางสื่อ”
ขณะเดียวกันก็ริเริ่ม “นำเข้าความฉิบหาย” เข้ามานั่นคือ นำนโยบาย “ประชานิยม” ที่เจ๊งฉิบหายวายวอดจากประเทศในแถบอเมริกาใต้ ตั้งแต่ บราซิล อาร์เจนตินา อีกหลายประเทศในแถบนั้นที่จนบัดนี้ยังไม่ฟื้นก็มี และล่าสุดกำลังจะเกิดขึ้นกับประเทศเวเนซุเอลา ซึ่งในช่วงแรกอาจเป็นแค่ 5-10 ปีแรก อาจจะดูดี ชาวบ้านชื่นชอบ เพราะแทบทุกอย่าง “แจกฟรี” แต่ในเมื่อนานเข้ากลายเป็น “เสพติด” ต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนน็อกในที่สุด
วกกลับมาที่ประเทศไทยในช่วงแรกๆ ที่ ทักษิณ ชินวัตร นำนโยบายประชานิยมมาใช้ ก็แน่นอนว่าประชาชนชื่นชอบ โดยเฉพาะชาวบ้านระดับ “รากหญ้า” แต่ขณะเดียวกันคนกลุ่มนี้ถือว่าเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุด มีปริมาณมากที่สุด และที่สำคัญที่สุดก็คือ คนกลุ่มนี้เหมาะที่สุดสำหรับระบอบประชาธิปไตยที่ใช้ “หนึ่งคนหนึ่งเสียง” เวลาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง เป็นใบเบิกทาง หรือเป็น “พิธีกรรม” เข้าสู่อำนาจเรื่อยมา และไม่ผิดหวัง ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างให้เก่งกาจประดุจ “เทวดา” เป็นอัศวินคลื่นลูกใหม่
ตั้งแต่ปี 2544 เรื่อยมาที่ ทักษิณ ชินวัตร ใช้นโยบายประชานิยม นั่นคือ “ซื้อ” ทุกอย่าง ซื้อทั้งแบบเฉพาะหน้า และ “ซื้อล่วงหน้า” ด้วยนโยบาย แต่ขณะเดียวกันนโยบายประชานิยมดังกล่าวที่ใช้เงินจากงบประมาณของรัฐไปละลายนั้นกลับแฝงไปด้วยผลประโยชน์ทางธุรกิจของเขาที่ได้รับไปเต็มๆ
นอกจากนี้ยังมีการออกนโยบายที่เรียกว่า “มีผลประโยชน์ทับซ้อน” สร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองและครอบครัวรวมไปถึงข้าราชการ นักการเมืองที่รับใช้ อย่างน่ารังเกียจที่สุด แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีคน “รู้ทัน” และวิพากษ์วิจารณ์มาอย่างต่อเนื่อง แต่หลายคนก็ถูกกลั่นแกล้งโดยอำนาจรัฐสารพัด ทำให้บางคนที่ไม่เข้มแข็งพอก็เลิกรากันไป
อย่างไรก็ดี เมื่อเกิด “ปรากฏการณ์ สนธิ ลิ้มทองกุล” ที่ออกมาเปิดโปง ทักษิณ ชินวัตร และระบอบทักษิณ ที่ยืนหยัดสู้อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปี 2549 ทำให้สังคมเริ่มตั้งสติ ได้เห็นมายาภาพเหล่านั้นได้ชัดเจนขึ้น ตาสว่างมากขึ้น จนเกิดกระแสต้านมากขึ้น และ ระบอบทักษิณ เริ่ม “เสื่อม” ลงเรื่อยๆ แต่ในที่สุดเมื่อเกิดการรัฐประหาร เมื่อปี 49 โดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่ฉวยโอกาสกลัวว่าตัวเองจะถูกปลดพ้นเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบก ก่อการแบบหน่อมแน้มเสียของ และที่สำคัญกลายเป็นเงื่อนไขให้ ระบอบทักษิณ ใช้ “เปลือกประชาธิปไตย” ไปหากินสร้างความเข้มแข็งขึ้นมาอีก พร้อมกับสร้าง “กระแสประชานิยม” ฟื้นอำนาจขึ้นมาได้อย่างเบ็ดเสร็จมากกว่าเดิม
ดังที่ ทักษิณ ชินวัตร ส่งใครก็ได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ไม่มีปัญหา หากไม่นับ สมัคร สุนทรเวช ที่เหลือก็เป็นคนในครอบครัวที่ก้าวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องถึงสามคน ล่าสุดแม้แต่คนที่มีสติปัญญาแบบ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ยังได้รับการสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่อีกด้านหนึ่ง อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นก็คือ “ของปลอม” มันก็ย่อมเป็น “ของปลอม” ด้อยคุณภาพนั่นแหละ ยิ่งเมื่อกาลเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ความจริงก็ย่อมปรากฏออกมาให้เห็นจนได้ เรียกว่าเวลาจะ “ประจาน” คนพวกนี้ออกมาให้ชาวบ้านได้เห็นเอง เหมือนกับความ “ล้มเหลว” ทุกเรื่องของ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย และ ทักษิณ ชินวัตร ที่เวลานี้ “มวลมหาประชาชน” ได้เห็นถึงความ “เห็นแก่ตัว” จากการออกพระราชบัญญัติล้างผิดให้กับตัวเองในชื่อที่อำพรางตบตาว่าร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ได้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน ที่มีแต่สร้างหนี้ ทำลายระบบเศรษฐกิจ ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนจากหนี้สิน ข้าวของแพง น้ำมันแพง สารพัด
ล่าสุด โครงการประชานิยมหลักที่ ดันทุรังบิดเบือนกันมานานในที่สุดก็ “ฝีแตก” ขึ้นมาแล้ว นั่นคือเกิดปัญหาไม่มีเงินมาจ่ายให้กับชาวนา และกรณีนี่แหละจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ทักษิณ ชินวัตร และระบอบทักษิณพังทลายลงมา เพราะนับจากนี้ไปจากความเดือดร้อนของชาวนาที่กำลังหาทางออกไม่ได้ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็กำลังดิ้นรน “กู้เงิน” มาใช้หนี้ชาวนา ซึ่งทุกประตูกำลังปิดตาย เพราะไม่มีสถานบันการเงินไหนให้กู้ เพราะตัวเองจะพังไปด้วย ดังนั้นประเด็นก็คือ แม้ว่าตอนนี้รัฐบาลจะสามารถใช้วิธี “ศรีธนญชัย” หาเงินมาจ่ายจนได้ แต่ถามว่าต่อไปนี้ชาวนาจะยังเชื่อมั่นกับระบบจำนำข้าวแบบเต็มร้อยอีกหรือไม่ เพราะเที่ยวนี้ถือว่าหนักหนาสาหัส และถามต่ออีกว่า แล้วพรรคเพื่อไทยยังกล้าที่จะกล้านำเอานโยบายนี้มาหาเสียงอีกหรือเปล่า
เอาเป็นว่าด้วยนโยบายจำนำข้าวดังกล่าว กำลังกลายเป็นตัวจุดชนวนทำลายระบอบทักษิณ ในทุกเรื่อง เพราะนี่คือความล้มเหลว เป็นความล้มเหลวที่ประจานตัวเองที่มาเร็วเกินคาด ในตอนแรกการชุมนุมขับไล่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของมวลมหาประชาชน ส่วนใหญ่เกิดขึ้นมาจากคนที่ “ตื่นรู้” ถูกมองว่าเป็นคนในเมือง และในกรุงเทพฯ เป็นหลัก แต่กรณีจำนำข้าวได้เกิด “แนวร่วม” จากชาวนาในชนบททั่วประเทศกระหนาบเข้ามาแบบไม่ได้นัดหมาย และเชื่อว่านับจากนี้ ทั้งนโยบายประชานิยม และระบอบทักษิณ รวมไปถึง ทักษิณ ชินวัตร จะเสื่อมมนต์ขลังลงอย่างฮวบฮาบ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
และนี่คือความเดือดร้อนฉิบหาย ที่สังคมทุกฝ่ายกำลังประสบและได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าบางครั้งนึกไม่ถึงว่าจะมาประจวบเหมาะเป็นสองแรงบวกที่รุมถล่มรัฐบาลและระบอบทักษิณให้จมดิน!!