สะเก็ดไฟ
การชุมนุมปิดกรุงเทพมหานครของ คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. ล่วงเลยมาถึงวันที่ 10 แล้ว แต่แนวทางการต่อสู้ของ กปปส.ยังเดินไปในรูปแบบเดิมๆ ไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อ 3 เดือนก่อน
การเคลื่อนขบวนนำมวลชนจำนวนมากไปยังสถานที่ราชการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ล่วงเลยมาจนถึงการบุกยึดธนาคารออมสิน ซึ่งถือเป็นหน่วยงานหนึ่งของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจด้วยเหตุผลที่ว่า มีข่าวลือฟ้องชัดว่า
“รัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ถังแตกถึงขีดสุด วางแผนจะปล้นเงินออมของเด็กๆ ไปจ่ายให้กับเกษตรกรในโครงการรับจำนำข้าวไปก่อนหลังผิดคำมั่นสัญญา เบี้ยวเงินชาวนามานานกว่าครึ่งปีแล้ว”
ทำเอากระทบฐานคะแนนเสียงหลักของพรรคเพื่อไทยและระบอบทักษิณ มาถึงวันนี้เวลาล่วงเลยใกล้วันที่ 2 ก.พ.ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งใหญ่เข้าไปทุกที ทางเดียวที่จะช่วยกอบกู้คะแนนเสียงกลับมาได้ก็คือ การเอาเงินยัดปากชาวนาเสียก่อนที่จะสายเกินไปเท่านั้นเอง
ทางผู้บริหารระดับสุงไล่มาจนถึงบรรดากลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจของธนาคารออมสิน ต่างออกมานั่งยันนอนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ข่าวลือเรื่องปล่อยกู้ให้รัฐบาลนั้นไม่มีมูลความจริง แต่หากจะเกิดขึ้นในอนาคตจริงๆ ทางผู้เกี่ยวข้องกับธนาคารทุกคนพร้อมที่จะปกป้องเงินทุกบาททุกสตางค์ของประชาชนอย่างแน่นอน เพราะวัตถุประสงค์ของธนาคารออมสินนั้นมีเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนออมเงิน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ไม่ได้มีไว้เพื่อให้รัฐบาลโกงกิน
ทำให้ กปปส.ที่นำโดยนายถาวร เสนเนียม ต้องก้มหน้ายอมรับต่อคำมั่นสัญญาดังกล่าวและพามวลชนนับพันล่าถอยกลับเวทีอนุสาวรีย์ชัยฯ ตามเดิม
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในการเคลื่อนมวลชนไปยังสถานที่ต่างๆ ของราชการ เพื่อเป้าหมายในการกดดันและเรียกร้องให้บรรดาข้าราชการออกมายืนอยู่เคียงข้างประชาชน ตามที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ได้ปลุกเร้าทุกครั้งเมื่อเวลาปราศรัยอยู่บนเวที
ถึงกระนั้นถ้อยคำเหล่านี้ก็เป็นเพียงคำฝันลมๆ แล้งๆ ของทาง กปปส.ที่หวังจะให้ธุรกิจ กิจการของประเทศหยุดชะงักทั้งหมดเพื่อเป็นการกดดันรัฐบาล
แต่สิ่งที่ปฎิเสธไม่ได้คือไม่ว่า กปปส.จะเคลื่อนทัพไปที่ใด เวลาใด หรือใครจะเป็นแกนนำพามวลชนไปต่างได้รับการต้อนรับอย่างดีจากทางข้าราชการรวมไปถึงประชาชนโดยรอบ
กระแสตรงนี้ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องกลับมาไตร่ตรองดีๆ ว่าคนไทยไม่ได้ความจำสั้นพอที่จะลืมวีรกรรมอันแสนชั่วร้ายของเขาได้ทำให้ประชาชนต่างลุกขึ้นมาตอบรับกับสิ่งที่นายสุเทพและคณะพยายามดำเนินการ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วนายสุเทพไม่ได้ถือเป็นนักการเมืองที่ได้รับความนิยม ชมชอบมากเหมือนอดีตนายก ชวน หลีกภัย
แต่สิ่งที่ทำให้นายสุเทพกลายเป็นฮีไร่ในขณะนี้ก็คือ คำว่า ล้มล้างระบอบทักษิณ ต่างหากที่เข้าไปกระแทกใจของคนไทยจำนวนมาก
การต่อสู้ครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งครั้งในประวัติศาสตร์ที่กินเวลายาวนานเฉกเช่นเดียวกับ การต่อสู้ 193 วันของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่จวบจนวันนี้ ก้าวเข้าล่วง 4 เดือนแล้วปริมาณของผู้เข้าร่วมชุมนุมถึงจะมีจำนวนมากสักเท่าไหร่ก็ยังไม่สามารถสั่นคลอนรัฐบาลปูแดงได้
แถมรัฐบาลยังเตรียมการมาอย่างดี ไม่ลงมาร่วมรบกับ กปปส.แบบเปิดฉากรบเพราะกลัวจะพลาดท่าเหมือนตอนรับมือกับกลุ่มพันธมิตรฯ ทำเอา กปปส.เริ่มไปไม่ถูกเมื่อรัฐบาลเล่นเกมวางเฉย ไร้ปฏิกิริยาตอบรับใดๆ
แม้จะมีกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบก่อกวนใช้ความรุนแรงกับมวลชนผู้บริสุทธิ์อยู่ทุกวัน แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทำเพียงตีหน้าเศร้า เล่นบทโศก ให้สถานการณ์ผ่านไปวันๆ เท่านั้น
ทาง กปปส.เองเริ่มต้องพลิกตำราหลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็นการเดินทัวร์ทั่วกรุง สร้างความปั่นป่วนพื้นที่เศรษฐกิจมา 10 วันแล้ว รัฐบาลก็ไม่ใส่ใจ เพราะดูเหมือนว่ารัฐบาลจะมองตรงไปที่วันเลือกตั้ง ที่ถือเป็นโฟกัสใหญ่จุดเดียว
หากผ่านวันนั้นไปได้รัฐบาลจะได้ความชอบธรรมจากนานาประเทศทันที โดยที่ กปปส.จะกลายเป็นจำเลยในสายตาของทั่วโลกว่าพยายามล้มล้างการเลือกตั้ง
หากกปปส.ยังปิดเกมสงครามครั้งนี้ลงไม่ได้ก่อนวันที่ 2 ก.พ.แล้วนั้น ยุทธศาสตร์การต่อสู้จะเอื้อไปให้กับทักษิณและพวกพ้องทันที
หมากจากนี้ไป กปปส.จะมาเสียเวลาเที่ยวเดินรับเงิน เช็กเรตติ้งหรือจะมาเดินรอบกรุงเชิญชวนบรรดาข้าราชการ อย่างที่เคยทำมาไม่ได้เสียแล้ว เพราะถ้า กปปส.ยังเดินเกมแบบนี้ แกนนำ กปปส.ทุกคนที่มีรายชื่อหางเร่อยู่กับกรมสอบสวนคดีพิเศษเตรียมแพกกระเป๋าหาที่อยู่นอกประเทศได้เลย
โดยนายสุเทพหัวเรือใหญ่ ต้องทำความเข้าใจด้วยว่า สงครามครั้งนี้ไม่ได้วัดกันที่จำนวนเงินบริจาคที่ไปเดินรับมา แต่เดิมพันในเกมนี้อยู่ถีบ “ยิ่งลักษณ์” ลงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีต่างหาก