ผ่าประเด็นร้อน
นาทีนี้เชื่อว่า ถ้าคนอย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีสติปัญญาหลงเหลืออยู่บ้าง สามารถคิดอะไรได้ด้วยตัวเองอยู่บ้าง ก็คงจะอยู่ในอาการว้าวุ่น เบื่อหน่ายระคนรำคาญตัวเองและคนรอบข้างที่คอยกำกับความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เพราะสภาพของเธอเวลานี้ไม่ต่างจาก “หุ่นเชิด” อย่างแท้จริง จะไปไหนมาไหน จะไปชอปปิ้งในห้างหรู ไปกินอาหาร ก็ทำไม่ได้ เพราะผวาเสียงก่นด่า ความไม่ปลอดภัย คนที่เคยห้อมล้อมก็ถูกจำกัดคัดกรอง เหลือเฉพาะที่ไว้ใจได้จริงๆ เท่านั้น
นี่แหละถึงต้องบอกว่า สำหรับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่หากมองอย่างเข้าใจ พิจารณาจากสติปัญญาผ่านทางคำพูดของเธอแล้วสรุปได้ทันทีว่า กำลัง “เครียด” อย่างหนัก เนื่องจากมองหนทางข้างหน้าแล้วมันตีบตัน เพราะตราบใดที่เธอยังไม่ได้รับการอนุญาตจากพี่ชาย คือ ทักษิณ ชินวัตร ให้ลาออกจากรักษาการนายกรัฐมนตรี ความหมายก็คือ ทั้งตัวเธอและทุกคนในครอบครัวชินวัตร ย่อมเป็น “ศัตรูกับมวลมหาประชาชน” มากขึ้นทุกวัน
ขณะเดียวกัน ยิ่งมีคนเสียชีวิตและบาดเจ็บกันเป็นรายวัน มันก็ยิ่งเกิดอารมณ์เจ็บแค้นจากมวลชนเพิ่มขึ้น เพราะแม้ว่าจะยังไม่อาจฟันธงได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเป็นฝีมือใคร แต่คำถามก็คือ รัฐบาล และตำรวจที่เป็นเครื่องมือ ทำไมถึงไม่เคยจับคนร้าย หรือได้เบาะแสคนก่อเหตุได้สักครั้งเดียว มิหนำซ้ำที่ผ่านมากลับมีอันธพาลการเมืองฝ่ายรัฐบาลออกมาเคลื่อนไหวภายใต้การอำนวยความสะดวกจากตำรวจคอยก่อกวน “ลอบกัด” ฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา
มันจึงช่วยไม่ได้ที่จะทำให้สังคมเชื่อว่าทุกเหตุร้ายที่เกิดขึ้นล้วนเป็นฝีมือของบรรดา “ขี้ข้าระบอบทักษิณ” ทั้งสิ้น
แน่นอนว่าในสภาพแบบนี้รัฐบาลไม่อาจบริหารได้อีกต่อไปแล้ว เพราะประชาชนไม่ยอมรับ มีแต่ความรังเกียจ มากขึ้นทุกวัน เพราะต้องไม่ลืมว่ามวลชนที่ออกมาคราวนี้เป็นมวลชนคนทำงาน คนรุ่นใหม่ ทุกเพศทุกวัย ไม่เว้นแม้กระทั่งเหล่า ดารา ศิลปินชั้นนำ ซึ่งอีกด้านหนึ่งคนพวกหลังนี่ยังกลายเป็นการ “สร้างกระแส” ดึงดูดให้คนออกมาต่อต้านรัฐบาล ต่อต้านระบอบทักษิณเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
คนพวกนี้ ทั้งที่ออกมาแต่เดิมและออกมาใหม่เพิ่มขึ้นทุกวัน พวกเขาไม่มีทางเปลี่ยนใจง่ายๆ ในทางตรงกันข้ามพวกเขาได้ “ตกผลึก” ทางความคิด มีความมุ่งมั่นสำหรับ “การปฏิรูปประเทศ” ครั้งใหญ่
ที่สำคัญงานนี้เป็นการ “ต่อสู้ของประชาชน ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างพรรคการเมืองฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับ พรรคเพื่อไทย แม้ว่าในการชุมนุมมีสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาร่วม มันก็ช่วยไม่ได้ แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยเห็นตรงกัน ก็โดดลงมาด้วยก็ได้ไม่เห็นมีปัญหาอะไร
ขณะที่การขับเคลื่อนเรื่องการต่อต้านของมวลมหาประชาชนออกมาเรียกร้องการปฏิรูปอย่างเข้มข้น จนเต็ท้องถนนในเมืองหลวง ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หมดสภาพอยู่นั้น จู่ๆ ก็เกิดภาวะ “ฝีแตก” จากโครงการ “จำนำข้าว” ขึ้นมาพอดี
นั่นคือรัฐบาลไม่มีเงินมาจ่ายให้ชาวนา ทั้งที่ได้เอาเข้ามาจำนำ(ขาย)ให้รัฐบาลนาน 3-4 เดือนแล้ว จนกำลังเกิดเป็นปัญหาบานปลายใหญ่โตหากรัฐบาลไม่มีปัญญาหาเงินมาจ่ายให้ครบทั้งหมดภายในสิ้นเดือนนี้ และเมื่อพิจารณาตามรูปการณ์แล้วเป็นไปได้ยาก เพราะมีเพียงวิธีเดียวที่จะหาเงินมาได้ก็คือ “ต้องกู้” เท่านั้น แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับการอนุมัติของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้วย
อย่างไรก็ดี ไม่ว่ารัฐบาลจะสามารถหาเงินมาจ่ายให้ชาวนาได้หรือไม่ ได้ครบตามจำนวนหรือไม่ หรือว่าจะใช้วิธีให้นำใบประทวนไปขอกู้เงินกับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หรือไม่ก็ตาม แต่ความหมายก็คือ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตามเวลานี้มันได้ทำลายเครดิตของนโยบายจำนำข้าวของรัฐบาล ของพรรคเพื่อไทย และที่สำคัญได้ทำลายเครดิต ทักษิณ ชินวัตร ลงไปอย่างฮวบฮาบ เพราะเขาคุยว่านี่คือ “นโยบายสุดยอด” ที่เกิดจากความคิดของเขา ถามว่าจากนี้ไปพรรคเพื่อไทยจะกล้านำเรื่องจำนำข้าวมาหาเสียงอีกหรือไม่ และถ้ายังเดินหน้าอีก ก็เกิดคำถามอีกว่าแล้วชาวนายังกล้าเอาข้าวมาจำนำอีกหรือไม่
เพราะเวลานี้ในหลายพื้นที่ที่ชาวนายังมีข้าวเหลืออยู่ในมือได้นำไปขายให้กับโรงสีกันแทบทั้งหมด ไม่ยอมเอาไปจำนำเหมือนก่อน เพราะเชื่อว่าจะไม่ได้เงิน นี่แหละถึงได้บอกว่ามันเสียหายยับเยิน เพราะถ้ายิ่งทอดเวลานานไปเท่าใด มันก็ยิ่งกลายเป็นความโกรธแค้น เหมือนกับ “ถูกโกง” ขณะที่การจะหาเงินมาได้มีอยู่ทางเดียวก็ต้อง “กู้เพิ่ม” ในวงเงิน 1.3 แสนล้านบาท ทั้งที่หากเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จ กระทรวงพาณิชย์ของนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล จะต้องขายข้าวนำเงินมาจ่ายให้ชาวนาได้ทันเวลา
แต่ที่ไม่ทัน ต้องค้างจ่ายอยู่แบบนี้เพราะมันขายไม่ออก มีการทุจริตอย่างมโหฬาร และเวลานี้เอาเข้าจริงไม่รู้ว่ามีข้าวที่มีคุณภาพสำหรับขายได้อยู่เปล่า ถึงได้บอกว่านโยบายจำนำข้าว ถึงเป็นนโยบายประจานความ “ห่วย” ได้ดีที่สุด
ขณะเดียวกัน เวลานี้สาเหตุหนึ่งที่ ยิ่งลักษณ ชินวัตร ต้องหดหัว นั่งกอดเข่าไม่กล้าออกไปไหน นอกจากกลัวมวลมหาประชาชนด่าว่า จนต้องปิดบังกำหนดการอย่างเข้มงวดแล้ว ยังไม่กล้าสู้หน้ากับชาวนา เพราะกลัวถูกทวงเงิน
ที่สำคัญคนพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนกันเองทั้งนั้น แต่ก็ยังทำกันได้ ยัง “ทรยศต่อความไว้วางใจ” กันไม่เลิก!!