ASTVผู้จัดการ - ย้อนอดีตสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่าง “สิงห์-ชินวัตร” ในวันที่บริษัทเครื่องดื่มในตระกูลภิรมย์ภักดีประกาศสนับสนุนธุรกิจของผู้ต้องหาคดีโกงบ้านโกงเมืองเมื่อปี 2550 กับวลี “คนเกลียดทักษิณมีแค่ 1 เปอร์เซ็นต์” ก่อนถึงวันนี้ 2556 ที่ภิรมย์ภักดีต้องตัดญาติกับ “ตั๊น จิตภัสร์”
วานนี้ (23 ธ.ค.) การที่นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี หนึ่งในทายาทเบียร์สิงห์ ออกมาเขียนจดหมายขอโทษกรณีบทสัมภาษณ์ของลูกสาว และประกาศยินยอมให้ลูกสาว “ตั๊น” น.ส.จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี หนึ่งในดาวเด่นของแนวร่วมกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) เปลี่ยนนามสกุลเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทางธุรกิจของบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เจ้าของเครื่องดื่มตราสิงห์ ได้รับความสนใจอย่างยิ่งประชาชนโดยทั่วไป โดยในเว็บไซต์ ASTVผู้จัดการ มีคนเข้ามาอ่านข่าวดังกล่าวมากกว่าแสนคน (อ่านข่าว : บิดา “จิตภัสร์” ขอโทษบทสัมภาษณ์ถูกแปลไม่เหมาะสม ตัดใจเปลี่ยนนามสกุล)
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของนายจุตินันท์เป็นผลสืบเนื่องมาจากกรณีวันที่ 18 ธ.ค. 2556 นายสันติ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ออกมาเขียนจดหมายถึงนายจุตินันท์ เนื้อหาเป็นการกล่าวตำหนินายจุตินันท์ต่อกรณีบทบาททางการเมืองของ น.ส.จิตภัสร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจและตระกูลภิรมย์ภักดี ซึ่งในปัจจุบันถูกมองว่าอยู่เบื้องหลังม็อบ กปปส. จนทำให้วานนี้ (23 ธ.ค.) กลุ่มคนเสื้อแดง นำโดยนายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร ได้เดินทางไปประท้วงยังโรงงานผลิตเบียร์ บริษัท ขอนแก่นบริวเวอรี่ จำกัด ตั้งอยู่ในตำบลท่าพระ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดยอ้างว่า น.ส.จิตภัสร์ ทายาท บ.บุญรอด บริวเวอรี่ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นเวที กปปส.ดูถูกเหยียดหยามประชาชนชาวรากหญ้าภาคอีสาน ระบุคนในชนบทไม่มีความรู้เรื่องประชาธิปไตย
การประกาศ “ตัดญาติ” กับ น.ส.จิตภัสร์ ของตระกูลภิรมย์ภักดี แม้จะมีเหตุผลเบื้องหลังหลักเป็น ยอดขายของธุรกิจเครื่องดื่มทั้งแอลกอฮอล์ และนอนแอลกอฮอล์ รวมกว่า 1.03 แสนล้านบาท และมีแผนว่าภายใน 5 ปีข้างหน้าจะดันยอดให้เพิ่มขึ้นเป็น 2 แสนล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่าเงื่อนไขในการรักษาอาณาจักรเบียร์สิงห์เอาไว้ให้อยู่ยั้งยืนยงได้บีบให้ “ภิรมย์ภักดี สายนักธุรกิจ” ไม่สามารถ “เลือกข้าง” ใดข้างหนึ่งได้อย่างชัดเจน แม้ว่าพฤติกรรมในอดีตที่ผ่านมา “ผู้บริหารสิงห์” ก็ส่งสัญญาณออกมาเป็นระยะๆ ว่า พร้อมที่จะศิโรราบให้กับนักการเมืองที่กุมอำนาจบริหารไม่ว่าฝ่ายใด
ยกตัวอย่างเช่น การรักษาสัมพันธ์ของ “เต้” ภูริต ภิรมย์ภักดี บุตรชายคนโตของสันติ ภิรมย์ภักดี และทายาทรุ่นที่ 4 ของเบียร์สิงห์ ที่ถูกหมายมั่นปั้นมือว่าจะเป็นบอสใหญ่ในยุคต่อไปของเบียร์สิงห์ร่วมกับน้องชาย “ต๊อด” ปิติ ภิรมย์ภักดี (สามีของดาราชื่อดัง “นุ่น” วรนุช) กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และลูกๆ ทายาทตระกูลชินวัตร
“เต้” ภูริต ภิรมย์ภักดี กับลูกสาวและลูกเขย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ตระกูลชินวัตร ที่อาจเรียกได้ว่า ณ เวลานี้มีคนรังเกียจมากที่สุดในประเทศไทย และเป็นตระกูลที่ กปปส.ระบุว่า “ต้องออกไปทั้งตระกูล ประเทศไทยถึงจะเดินหน้าต่อไปได้”
ย้อนไปก่อนหน้านี้ในปี 2550 นายคำนูณ สิทธิสมาน นักหนังสือพิมพ์และคอลัมนิสต์แห่งหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการ ที่ปัจจุบันมีสถานะเป็นสมาชิกวุฒิสภาระบบสรรหา เคยเขียนวิพากษ์วิจารณ์ถึงผลประโยชน์ทางธุรกิจระหว่าง “สิงห์-ชินวัตร” เอาไว้หลังการปฏิวัติรัฐประหาร 2549 ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางไปพำนักที่ประเทศอังกฤษและซื้อสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยในเวลานั้น บ.บุญรอด บริวเวอรี่ ได้เข้าไปเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับสโมสรฟุตบอลของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยไม่แคร์สายตาของสังคม ทั้งยังส่งคนของตัวเองออกมาโต้แย้งด้วยว่า จริงๆ แล้วคนที่ไม่ชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร น่าจะมีแค่ 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
โดยเนื้อหาทั้งหมดของบทความชิ้นดังกล่าวมีดังนี้
‘เลิกดื่มผลิตภัณฑ์สิงห์’ เสียงจากคนไม่มีเหตุผล ?
คำนูณ สิทธิสมาน 23 กันยายน 2550
เมื่อวันก่อนหลังจากมีข่าวเบียร์สิงห์เข้าไปเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีแห่งพรีเมียร์ลีก ประเทศอังกฤษ ผมก็เสนอความเห็นในรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ไปด้วยซื่อว่าเห็นทีพวกเราจะต้องเลิกดื่มกินเบียร์สิงห์และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของเครือบริษัทบุญรอด บริวเวอรี่เสียแล้ว และไหนๆ ก็ไหนแล้วเพื่อความสะใจถ้าจำเป็นก็หันมาดื่มกินเบียร์ช้างและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในเครือของคุณเจริญ สิริวัฒนภักดีเสียเลย
แม้จะบอกผู้ชมว่าไปว่าไม่ต้องเชื่อนะ เพราะผมเป็นคนไม่มีเหตุผล เป็นคนเกเร
แต่จริงๆ ผมมีเหตุผล!
และเหตุผลนี้ ผมจำเป็นต้องเขียนในวันนี้โดยสังเขปเพื่อบอกกล่าวไปถึง นายฉัตรชัย วิรัตน์โยสินทร์ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด ที่ให้สัมภาษณ์ นสพ.เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับล่าสุด (21-27 กันยายน 2550) ในทำนองว่าไม่แคร์เสียงวิพากษ์วิจารณ์ เพราะเป็นเสียงของคนกลุ่มน้อยกลุ่มเดียวที่ไม่มีเหตุผล
นายฉัตรชัย วิรัตน์โยสินทร์ บอกว่าคนกลุ่มนี้มีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์
นายฉัตรชัย วิรัตน์โยสินทร์ บอกด้วยว่า คนกลุ่มเล็กๆ นี้คือกลุ่มผู้จัดการ วิทยุรายการเดียว (คงจะเป็นคลื่นยามเฝ้าแผ่นดิน FM 97.75 Megahertz) และเคเบิลทีวี (ก็คงจะ ASTV) รวมทั้งบทความของคุณอัญชลี ไพรีรัก ที่เขียนลงไทยโพสต์
นายฉัตรชัย วิรัตน์โยสินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด
“ดีลนี้คือโอกาสทางธุรกิจ ที่เราได้คำนวณบวกลบคูณหารแล้ว มันก็ต้องมีคนที่ยังไงซะจะต้องด่าล่ะหนึ่งกลุ่ม ซึ่งเป็นกลุ่มที่น้อยๆ มากที่ไม่มีเหตุผล เพราะต้องบอกว่าคนที่ไม่รักคุณทักษิณมีทั้งคนที่มีเหตุผลและไม่มีเหตุผล คนที่มีเหตุผลผมเชื่อว่าเขาแยกแยะออก ถามว่าถ้าไม่ใช่คุณทักษิณซื้อ นาย ก. นาย ข. คนไทยซื้อ เราจะชื่นชมไหม ก็ติดแค่ว่าเป็นชื่อคุณทักษิณ ซึ่งผมว่าคนกลุ่มนี้ยังไงเสียเขาก็คงด่าอยู่แล้ว ซึ่งก็เห็นๆ อยู่ว่าทุกวันนี้ก็มีด่าอยู่กลุ่มเดียว แล้วก็ด่าแบบไม่มีเหตุผล...”
“ถามว่าเราแคร์ความรู้สึกคนไทยไหม เราแคร์ แต่เราเชื่อว่าคนไทยส่วนมาก 99 เปอร์เซ็นต์เป็นคนที่มีเหตุผล อาจจะมี 1 เปอร์เซ็นต์ที่ ฉันเกลียดคนนี้ ไม่รู้แหละ เธอต้องเกลียดด้วย...”
“ผมก็ไม่ได้อิกนอร์ความรู้สึกคนนะ ผมก็เช็กเว็บไซต์พันทิป ผมเช็กทุกเว็บ เว็บผู้จัดการชัดเจนละที่คนจะด่าอยู่แล้ว แต่เว็บอื่นๆ ผมก็ไม่เห็นเขาจะด่าอะไร...”
“จะห้ามให้คิด ห้ามให้วิจารณ์ ไม่ได้ เราก็ยอมรับ แต่ขอว่าเป็นกลางหน่อย...”
คนไทยคนหนึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองทางธุรกิจ ถึงขั้นไปเทกโอเวอร์สโมสรฟุตบอลของลีกชั้นนำในต่างประเทศ เป็นเรื่องน่ายินดีที่ควรชื่นชม ธุรกิจของคนไทยกลุ่มใดก็ตามไปเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับสโมสรฟุตบอลของลีกชั้นนำในต่างประเทศก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่ควรชื่นชมเช่นกัน ถ้าคนไทยคนนั้นและกลุ่มธุรกิจของคนไทยกลุ่มนั้นไม่ได้มีอะไรผิดปกติไปจากความถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
หรือถึงไม่ยินดีไม่ชื่นชม ก็ไม่ใช่เรื่องจะต้องมาตำหนิกัน
สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกข่าวว่าจะเทกโอเวอร์สโมสรฟูแลม และสโมสรลิเวอร์พูล เมื่อหลายปีก่อน ผมยังเขียนสนับสนุนเลย ภายใต้เงื่อนไขว่าขอให้เป็นเงินส่วนตัว ไม่ใช่เงินงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีอากรคนไทยทั้งประเทศ หรือที่จะออกหวยเป็นกรณีพิเศษ
แต่การเทคโอเวอร์สโมสรแมนเชสเตอร์ซิตีครั้งนี้แตกต่างกันออกไป
1. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกโค่นล้มด้วยข้อหา 4 ข้อ โดยข้อหนึ่งในจำนวนนั้น คือ คอร์รัปชันมหาศาล ขณะนี้บางคดีก็เริ่มเข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาลแล้ว แต่ติดขัดตรงที่จำเลยหนีคดี สถานภาพจึงอยู่ในขั้นถูกออกหมายจับไปแล้ว 2 คดี และถูกอายัดทรัพย์เป็นเงินร่วมแสนล้านบาท แต่ก็ยังมีปัญญาเจียดเงินสี่ซ้าห้าพันล้านไปซื้อสโมสรฟุตบอลในต่างประเทศ จึงมีเหตุผลสมควรสันนิษฐานได้ว่าเงินจำนวนนี้เป็นเงินทุจริตที่ได้จากการโกงบ้านโกงเมืองไปหรือไม่
2. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เทกโอเวอร์สโมสรแมนเชสเตอร์ซิตีด้านหนึ่งด้วยเหตุผลทางธุรกิจ แต่อีกด้านหนึ่งก็เพื่อแสดงให้คนไทยเห็นว่าโลกยอมรับตัวเขา ถ้าเป็นเงินไม่สะอาด หรือถ้าตัวเขาคอร์รัปชันแล้ว อังกฤษคงไม่ยอมง่ายๆ พูดง่ายๆ ก็คือเงินจำนวนนี้คุ้มค่ากว่าการประชาสัมพันธ์ใดๆ เขาได้อาศัยฐานภาพนี้เป็นข่าวในหน้ากีฬา ในรายการกีฬาทางทีวี โดยผู้สื่อข่าวและผู้ดำเนินรายการที่เห็นว่ากีฬาแยกขาดจากการเมือง
การไม่ชื่นชมคนไทยที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรในการเทกโอเวอร์สโมสรแมนเชสเตอร์ซิตีจึงเป็นเรื่องที่มีเหตุผล มีที่มาที่ไป
และผมไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องของคน 1 เปอร์เซ็นต์ของประเทศแน่!
การต่อสู้เพื่อโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนั้นดำเนินมาตั้งแต่กลางปี 2548 ผ่านรายการโทรทัศน์ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ทางช่อง 9 ที่มีเรตติ้งสูงมาก แม้จะถูกถอดออกจากผัง รายการที่มาแทนคือ “เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” ที่ถ่ายทอดสดทาง ASTV ก็มีผู้ชมมากขึ้น ๆ ตามลำดับ มีผู้มาชุมนุมชมรายการเพิ่มจากฐาน 2,000 คนในวันแรกเป็นประมาณไม่ต่ำกว่า 50,000 คนในช่วงท้ายๆ เฉพาะที่มากที่สุดนั้นขึ้นแตะหลัก 100,000 คน และเมื่อพัฒนามาเป็นการชุมนุมมวลชนภายใต้ชื่อองค์กรเฉพาะกิจ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ก็สร้างประวัติศาสตร์การชุมนนุมถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ครั้งแรก 33 วัน 33 คืนที่มีผู้ชมรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน จนเกิดปรากฏการณ์ “โนโหวต” ในการเลือกตั้งเดือนเมษายน 2549 ที่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งจุดจบของทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและสมุนรับใช้
แม้จะไม่มีการชุมนุมอีกนับแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา แต่มวลชนจำนวนนี้ยังคงเกาะกลุ่มทางความคิดอย่างเหนียวแน่น รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” รวมทั้ง ASTV และ FM 97.75 Megahertz พร้อมด้วยพันธมิตรอย่าง FM 92.25 Megahertz ยังคงทำหน้าที่ต่อไป
เมื่อมีเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากลใดเกิดขึ้นก็พร้อมจะแสดงพลัง เริ่มต้นก็แค่แสดงความคิดเห็น แสดงพลังผ่านข้อเขียน ผ่านโทรศัพท์เข้ารายการ และผ่านความเห็นในเว็บบอร์ด “ผู้จัดการ” ที่เป็นเว็บข่าวอันดับ 1 และเว็บรวมทั้งหมดอันดับ 3 ของประเทศ
เบียร์สิงห์จะไปเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับสโมสรฟุตบอลใดๆ ในต่างประเทศ ผมคงไม่มีความเห็น
แต่เมื่อเลือกที่จะไปจับมือกับแมนเชสเตอร์ซิตี เพราะคิดว่าลงทุนไม่แพง ได้แรงบวกจากการที่คนพูดถึงเยอะอยู่แล้วจากกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถ้าผมไม่มีความเห็นก็เท่ากับทรยศกับตัวเอง
เพราะนี่คือ “ลัทธิมักง่าย” ที่ไม่คำนึงถึงเงื่อนไขอื่นๆ ทางสังคมประกอบ
ขอแค่ได้ “ดีล” ที่มัน “คุ้มค่าทางธุรกิจ” เป็นพอ!
ไม่ใช่เพราะไอ้ความคิดมักง่ายขอแค่ “คุ้มค่าทางธุรกิจ” ที่ไม่คำนึงถึงเงื่อนไขอื่นๆ ทางสังคมประกอบอย่างนี้แหละหรือที่ทำให้สังคมไทยตกต่ำเสื่อมทรามทางจริยธรรมอยู่ทุกวันนี้
ผมเสียใจที่สิงห์ยุคนี้ตกอยู่ในวังวนของลัทธิมักง่ายดาดๆ เช่นนี้
พระยาภิรมย์ภักดีก่อตั้งบุญรอดบริวเวอรี่มาตั้งแต่ปี 2476 ก่อรูปการเป็นบริษัทของคนไทยที่ภาคภูมิในความเป็นคนไทย ศักดิ์ศรีของคนไทย โฆษณาแต่ละชิ้นแสดงความงดงามของเอกลักษณ์ไทยมาโดยตลอดจนได้รับการยอมรับไปทั่ว
ไม่น่าที่ภิรมย์ภักดีรุ่นหลังจะต้องมา “จนแต้ม” ถึงขนาดปล่อยให้นักการตลาดอย่างนายฉัตรชัย วิรัตน์โยสินทร์เอาบริษัทที่มีภาพลักษณ์ของ “ผู้ดีเก่า” ไปเสริมพลังให้ผู้ต้องหาหนีคดีโกงบ้านโกงเมืองเลย
ชมคลิป น.ส.จิตภัสร์ ปราศรัย - “คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะสู้ในสิ่งที่ถูกต้องได้ค่ะ”