ผ่าประเด็นร้อน
เชื่อว่าหลังจากได้เห็นพลังของมวลมหาประชาชนครั้งล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมาถือว่าเป็น “ปรากฏการณ์” ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย และยังเป็นสถิติที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั่นย่อมเป็นคำตอบได้ดีว่า “กระแสปฏิวัติ” โดยประชาชนสองมือเปล่ากำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว เป็นกระแส “กวาดล้าง” นักการเมืองชั่ว ระบบทุนสามานย์ รวมไปถึง “ข้าราชการเลว” ที่รับใช้เป็น “นั่งร้าน” ค้ำยันระบบเลวๆ เหล่านั้น ลงไปในอีกไม่ช้า
เพราะนี่คือกระแส และความรู้สึกของมวลมหาประชาชนที่ “ตกผลึก” เรียบร้อยแล้วว่า พวกเขา “เหลือทน” กับการเมืองเน่าๆ ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ไม่ยอมรับ “นักการเมืองกระจอก” ไม่ยอมรับ “ข้าราชการกระจอก” ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ พลเรือนที่รับใช้ระบบการเมืองแบบนี้อีกต่อไปแล้ว ไม่ยอมรับนักวิชาการขี้ข้าที่หลงตัวเอง ไม่ยอมรับ “สื่อทาส” ทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้กำลังกลายเป็น “สิ่งที่น่ารังเกียจ” กำลังจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง หากไม่มีการปรับตัวออกมาร่วมกระแสปฏิวัติกับประชาชนที่ “ตื่น” ขึ้นมาแล้วทั่วประเทศ
เชื่อหรือไม่ว่าเวลานี้ชาวบ้านที่ตื่นรู้ขึ้นมา พวกเขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพานักการเมือง ข้าราชการ สื่อ ตำรวจ ทหารที่ยังมีความคิดรับใช้ “นักการเมืองชั่ว” หรือรัฐบาลทรราช ไม่ยอมอยู่อุ้งเท้าของ ระบอบทักษิณ กลายเป็นว่าชาวบ้านรังเกียจ ครอบครัวชินวัตร ที่มีหัวหน้าโจรใหญ่คือ ทักษิณ ชินวัตร บงการผ่าน “หุ่นเชิดโง่ๆ” อย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ปรากฏการณ์ดังกล่าวความหมายก็คือ พวกเขา “ฉลาดรู้ทัน” กว่าคนพวกนั้น และองค์กรเหล่านั้น ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคนพวกนั้นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว และที่สำคัญนี่คือการ “ทวงสิทธิ์” ความเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุด ทวงความเป็นเจ้าของทุกอย่างในบ้านเมืองกลับคืนมา
ที่ผ่านมามวลมหาประชาชน “ให้โอกาส” นักการเมือง ข้าราชการ สื่อ และนักวิชาการโง่ๆ เหล่านั้นมานานพอแล้ว
ที่สำคัญในจำนวนนั้นมีพวกสื่ออีกหลายสำนักที่ยังสำคัญตัวเองผิดคิดว่าว่ายังสามารถชี้นำสังคม ชี้นำประชาชนเหมือนเมื่อก่อน โดยหลงลืมไปแล้วว่าเวลานี้ชาวบ้านเขามีทางเลือกมากมาย และควรสำเหนียกจำใส่สมองเอาไว้ด้วยว่าเวลานี้ชาวบ้านเขาสามารถผลิตสื่อเอง เป็นสื่อเองกันแล้วด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก เหมือนกับการชุมนุมคราวนี้ที่การปิดกั้นบิดเบือนของสื่อที่อ้างว่าเป็นสื่อหลักทั้งทีวีหนังสือพิมพ์แทบจะไร้ความหมาย ตรงกันข้าม กลับไป “เพิ่มอารมณ์เกลียดชัง” หรือ “เหยียดหยาม” ให้เกิดขึ้น เพราะยิ่งบิดเบือนปิดกั้นรับใช้รัฐบาลทรราชมากเท่าไหร่ สื่อเหล่านี้ก็จะยิ่งถูกทิ้งไว้ข้างหลังจนไกลลิบ
ขณะเดียวกัน แม้ว่าไม่ใช่สนับสนุนให้เกิดความรุนแรง คุกคามสื่อ แต่พฤติกรรมของผู้บริหารสื่อหลายสำนักมันช่างเป็นการกระตุ้นให้ชาวบ้านเขา “รำคาญ” ไม่ให้ราคา ไม่ให้เกียรติมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะสิ่งที่ชาวบ้านเขาแสดงออกก็แค่รุมล้อมต่อว่า หรือด่าทอ ขีดเขียนรถข่าว ส่วนใหญ่จำกัดอยู่แค่นั้น ซึ่งชาวบ้านเขาก็รู้ว่านี่เป็นแค่นักข่าวเด็กๆที่ทำหน้าที่ ไม่มีอำนาจตัดสินใจอะไร การนำเสนอก็อยู่ภายใต้การกำกับของ “พวกเขี้ยวลากดิน” ที่อยู่ข้างในต่างหาก ดังนั้นถ้าบอกว่าชาวบ้านเขาเริ่มดูถูกสื่อหลายสำนักในเวลานี้มันก็ย่อมมีที่มาที่ไป ผลย่อมมาจากเหตุ แต่ถึงอย่างไรอย่าใช้ความรุนแรงจนเลยเถิด เพราะนั่นมันไม่ใช่ “วิถีอารยะ” ที่ทำกันไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม
สำหรับข้าราชการ หากเรียงลำดับก็ต้องพูดถึงข้าราชการทหารก่อน ซึ่งในที่นี้ย่อมหมายถึงผู้นำเหล่าทัพทุกเหล่าทัพ จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจะมาทำ “หูหนวกตาบอด” ตีกินไปวันๆ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว หรืออ้าง “เป็นกลาง” แต่รับใช้รัฐบาลทรราช ที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อไป โดยเฉพาะ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นาทีนี้ต้องเลือก"ยืนข้างประชาชน"เท่านั้น ไม่มีทางเลือกอื่น หากไม่เลือกก็ต้อง “ไล่ไปให้พ้น” เพราะไร้ประโยชน์ และความหมายที่เข้าใจคือไม่ใช่เรียกร้องให้รัฐประหารใช้อาวุธยึดอำนาจ เพียงแค่ประกาศท่าทีไม่รับใช้ระบอบทักษิณ เท่านั้น ทุกอย่างก็จะจบเร็วขึ้น ขณะเดียวกันหากทำไม่ได้ก็ต้องออกไปให้คนอื่นมาทำหน้าที่แทน เพราะอยู่ไปก็เปลืองงบประมาณเปล่าๆ
การประกาศปฏิวัติโดยประชาชนเต็มขั้นของ กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ ว่ากำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า และไม่มีทางเลี่ยง มันก็มีความหมายชัดเจนแล้วว่าที่ผ่านมาให้โอกาสข้าราชการพวกนี้มามากแล้ว เสียเวลามามากพอแล้ว ถึงเวลาที่ประชาชนในฐานะเข้าของอำนาจแท้จริงจะลงมาจัดการ “ล้าง” กันอย่างจริงจังเสียที และเมื่อได้เห็นการตื่นรู้ เพิ่มจำนวนออกมามากขึ้นทุกวัน มีการพิสูจน์ให้เห็นตอกย้ำเมื่อวันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา มันก็ถึงเวลาแล้วจริงๆ ประชาชนต้องปฏิวัติทวง “ชิงอำนาจ” กลับมาในมือเต็มรูปแบบ ใครขวางไล่ไปให้หมด!!