อดีตแกนนำเสื้อแดงโพสต์เฟซบุ๊ก ชม ปชป.ระบบพรรคเขาดี มองย้อนไป พท.เสื่อมลง รัฐประหารไม่พอ ขาใหญ่มองฐานเสียงแค่นั่งร้านให้ไต่เต้าเป็นรัฐบาล แล้วพอได้สมใจก็รื้อทิ้ง ความเป็นพรรคด้อยคุณภาพ แนะขยายฐานสาขา-สมาชิกพรรคจริงๆ เงินฟาดหัวให้น้อย-โชว์ฝีมือให้มาก ทำพรรคให้เปิดกว้าง และอย่ามัวหมกมุ่นเลือกตั้ง
วันนี้ (18 ธ.ค.) นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งหลบหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอยู่ในต่างประเทศ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กแฟนเพจ “จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair” ระบุว่า เรียนจากคนที่เราไม่อยากเรียน วันนี้มีเหตุให้ชมเชยพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นการชมจริงๆ ไม่ใช่ประชดประเทียด จึงต้องขอเตือนทุกๆ ท่านที่เกลียดพรรคประชาธิปัตย์อย่างเข้ากระดูกดำเอาไว้เสียก่อน ตนเองก็รังเกียจทัศนะและพฤติกรรมการเมืองของพลพรรคประชาธิปัตย์ไม่น้อยไปกว่าใคร และแลเห็นพรรคนี้เป็นภัยอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในสังคมไทย แต่เรื่องที่จะชมวันนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญต่อตัวเราเอง และสมควรจะนำเรื่องนี้มาคิดอย่างแยบคาย
“ผมอ่านข่าวการประชุมใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์และผลสรุปเกี่ยวกับโครงสร้างพรรคที่ปรากฏขึ้นแล้ว ก็นึกอยู่ในใจว่าระบบพรรคของเขา หรืออาจเรียกในภาพใหญ่ว่าความเป็นพรรคของเขา ดีกว่าของเรา การขยายฐานะและบทบาทของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders) มาเป็นคณะกรรมการกลาง การนำตัวแทนของท้องถิ่นและสาขาพรรค เข้ามาร่วมตัดสินใจโดยตรง จนเกิดเป็นคณะกรรมการบริหารพรรคในแต่ละสมัย ตลอดจนการเลือกรองหัวหน้าพรรคประจำภูมิภาคจากผู้แทนสาขาพรรคโดยตรงจนครบทุกภูมิภาค ฯลฯ เหล่านี้เป็นสิ่งที่เหมาะสมสอดคล้องกับความเป็นพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ส่วนพฤติกรรมการเมืองเจ้าเล่ห์เพทุบาย กะล่อนลื่นไถล ทำตัวเป็นร่างทรงของเจ้าของระบอบ ทำเป็นแต่การทำลายล้างไม่รู้จักความสร้างสรรค์อย่างมนุษย์นั้น นับเป็นปกติของพรรคประชาธิปัตย์อยู่ แต่เราควรแยกออกจากระบบพรรคของเขาให้ได้ เผื่อฝ่ายเราจะได้คิดอะไรของเราเองขึ้นมาบ้าง
พรรคไทยรักไทยเริ่มต้นด้วยระบบพรรคที่ดีมาก นำเอาข้อเด่นและข้อด้อยของพรรคการเมืองทั่วโลกมาปรับและประยุกต์ใช้ จนเติบโตได้อย่างรวดเร็ว แต่มีเหตุผล 2 ประการทำให้คุณภาพที่เคยมีลดลงอย่างรวดเร็วน่ากังวล หนึ่งคือการถูกทำลายอย่างเป็นระบบจากฝ่ายตรงข้าม ตั้งแต่การรัฐประหารถึงการยุบพรรค สิ่งที่เหลือจึงไม่เท่าเดิม และพยายามประติดประต่อขึ้นมาใหม่เท่านั้นเอง มองในมุมนี้ก็ออกจะน่าเห็นใจอยู่
เหตุผลที่สองเป็นปัญหาของเราเองโดยแท้จริง นั่นคือ ผู้มีอำนาจในพรรคมองพรรคว่าเป็นแค่นั่งร้านที่นำไปสู่ความเป็นรัฐบาล เมื่อสร้างบ้านเสร็จ นั่นคือได้เป็นรัฐบาลสมใจแล้ว ก็รื้อนั่งร้านนั้นออกไปเลยทีเดียว ความจริงพรรคไม่ใช่นั่งร้าน แต่เป็นฐานรากของความเป็นรัฐบาล ในวันนี้เรารู้สึกกันแล้วมิใช่หรือว่า อุตส่าห์ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนจนได้เสียงข้างมากมาแล้ว 4 รอบ เหล่ามารแห่งระบอบเก่าก็ยังหน้าด้านกรูเข้ามาปฏิบัติการแย่งชิงอำนาจรัฐเอาดื้อๆ อย่างนี้ได้ โดยไม่เกรงใจประชาชนเสียงข้างมากเลยแม้แต่น้อย
เราจึงต้องหวนกลับไปแก้ปัญหาที่ฐานรากของระบบเลือกตั้ง นั่นคือทำพรรคให้มีความเข้มแข็งมั่นคงขนาดที่จะช่วยในการระดมมวลชน ประสานความร่วมมือในปฏิบัติการต่างๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม สร้างความเข้าใจทางการเมือง และขยายอุดมการณ์ของเรา ไปจนถึงหน่วยที่เล็กที่สุดคือหมู่บ้านและลูกบ้านแต่ละคน เพราะนั่นล่ะครับคือสิ่งที่ฝ่ายเขาทำมาตลอดและยังทำอย่างเต็มที่อยู่ แถมยังทำด้วยประสิทธิภาพที่เหนือกว่าเรามาก เราต้องยอมรับว่า ความเป็นพรรคของเราลดลงในเชิงคุณภาพและประสิทธิภาพลงเรื่อยๆ ตามแผนที่เขาต้องการทำลายเรา ถึงความสามารถในอันที่จะชนะการเลือกตั้งยังคงมีมาก
แต่ถ้าเราไม่อาจสร้างระบบป้องกันเสียงข้างมากและชัยชนะนั้นๆ โดยผ่านระบบพรรคของเราได้ สุดท้ายเราก็จะถูกปล้นกลับไปได้อีกโดยง่าย เหมือนที่นายสุเทพฯ และพวกพยายามกระทำอยู่ในขณะนี้ ระบบพรรคประชาธิปัตย์มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ถึงขนาดแบ่งบทเล่นได้ระหว่างผู้ร้ายหมายเลข 1, 2, 3 และเรื่อยไป โดยเอาพรรคเป็นกลไกกลางผสมผสานกิจกรรมต่างๆ เข้าด้วยกัน แถมยังสร้างความภักดีจากสมาชิกพรรคจนถึงขั้นต้องเลือกพรรคของตนเท่านั้น ไม่ว่าการกระทำจะเลวร้ายถึงแก่นอย่างไรก็ตาม นี่คือความแข็งแกร่งของระบบพรรค
สรุปแล้วพรรคเพื่อไทยดูแบบอย่างจากศัตรูได้ในเรื่องต่างๆ ต่อไปนี้
1. ขยายฐาน บริหารฐาน และบริหารสาขาพรรคและสมาชิกพรรคอย่างจริงจัง
2. ใช้เงินให้น้อยลงในระบบรองรับการระดมมวลชน แต่กดดันให้ ส.ส. และผู้สมัครฯ แสดงฝีมือในการจัดการจัดตั้งให้มากขึ้น (ความจริงเขาก็ใช้ถึงวันละ 40 ล้านบาทในขณะนี้ ซึ่งแสดงว่าเขาก็หย่อนความสามารถทางธรรมชาติอยู่มากเหมือนกัน)
3. ยึดพรรคเป็นเวทีกลางระหว่างคนของพรรคโดยตรง และแนวร่วม เพื่อแสวงหานโยบายและท่าทีที่ดีมาผลักดันเป็นเรื่องสาธารณะต่อไป พูดง่ายๆ ทำพรรคให้เปิดกว้าง และทำบรรยากาศให้คนเก่งกล้าซึ่งเห็นด้วยกับการต่อสู้ของเราอยากเดินเข้าพรรคเพื่อไทยมากยิ่งขึ้น
4. อย่าหมกมุ่นเฉพาะเรื่องการเลือกตั้งเท่านั้น แต่ควรตั้งเป้าหมายที่การจัดตั้งรัฐทั้งรัฐทีเดียว”