เวทีปาหี่รอบสอง นักวิชาการ ภาคเอกชน เห็นพ้องให้เลือกตั้งเฉพาะกิจ ทุกพรรคการเมืองลงสัตยาบันเข้ามาเพื่อปฏิรูปประเทศ โดยตั้งองค์กรดำเนินการเสร็จแล้วยุบสภาเลือกตั้งใหม่ นักวิชาการแนะ กกต.ออกกฎระเบียบคุมเข้มพวกทุจริตเลือกตั้ง เพื่อความโปร่งใสในเบื้องต้น
นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเสวนาในหัวข้อ “ประเทศไทยของเราจะไปทางไหน” ว่า ที่ประชุมได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ซึ่งก็เป็นไปด้วยความเกื้อกูลเสริมสร้างกันด้วยความหวังให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งทางภาควิชาการได้มีความเห็นทางวิชาการจากการร่วมกันเสนอ ซึ่งได้ข้อพิจารณาว่า การเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นนั้นจะเป็นการเลือกตั้งลักษณะพิเศษ เพราะจะเป็นการเลือกตั้งที่จะนำไปสู่การปฏิรูปประเทศไทยเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาทั้ง การเมือง เศรษฐกิจ คอร์รัปชัน และการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชน โดยมี 3 แนวทาง คือ 1. เพื่อให้การเลือกตั้งสามารถนำไปสู่การปฏิรูปได้อย่างแท้จริง โดยมีส่วมร่วมของทุกฝ่ายที่จะเข้ามาเสริมงานของ กกต.ให้กระบวนการการเลือกตั้ง ตั้งแต่การหาเสียง มีค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งทั้งหมด เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม
2.ประชาชนอยากเห็นพรรคการเมืองที่จะลงสนามการเลือกตั้งได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าหลังจากการเลือกตั้งจะต้องมีรัฐบาลเพื่อการปฏิรูป ซึ่งรัฐบาลเพื่อการปฏิรูปในส่วนนี้ ต้องช่วยกันเรียกร้องให้พรรคการเมืองช่วยกันคิดและช่วยนำเสนอว่า รัฐบาลเพื่อการปฏิรูปจะมีเงื่อนไขใดบ้าง และจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร สิ่งเหล่านี้จะเป็นข้อมูลสำคัญที่จะทำให้ประชาชนตัดสินใจว่าจะลงคะแนนอย่างไรในวันเลือกตั้ง และ 3.นอกจากการมีรัฐบาลเพื่อการปฏิรูปแล้ว น่าจะต้องมีองค์กรเพื่อการปฏิรูปด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่สังคมไทยจะต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้องค์กรดังกล่าวเป็นที่วางใจของประชาชนว่า ไม่มีผลประโยชน์ทางการเมืองกลุ่มใดโดยเฉพาะ และที่สำคัญจะต้องไม่ทำหน้าที่ขัดแย้งกับกลไกในระบอบประชาธิปไตยด้วย
“สิ่งเหล่านี้เป็นสาระที่ได้จากการพูดคุยซึ่งไม่ใช่ความเห็นร่วมหรือมติที่จะต้องผูกมัดอะไร เป็นเพียงบรรยากาศของการประชุมที่มีการเสนอความคิดเห็นทางวิชาการดังกล่าวออกมา ซึ่งความเห็นเหล่านี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจ โดยเราหวังว่าสังคมไทยจะให้ความสำคัญและเร่งพัฒนาความคิดเหล่านี้ให้มีความละเอียดมากยิ่งขึ้น ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการเลือกตั้งนับจากนี้ไป และจะเป็นประโยชน์ของประเทศในระยะยาวด้วย”
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะทำอย่างไรให้ 3 ข้อนำไปให้ประชาชนได้แสดงความเห็นอย่างจริงจัง นายธงทอง กล่าวว่า ต้องช่วยกันสื่อสารออกไปสู่สาธารณชน ประเทศไทยไม่สามารถผูกขาดได้ด้วยคนจำนวนใดจำนวนหนึ่ง องค์กรภาคธุรกิจเอง แม้จะเป็นผู้แทนของภาคธุรกิจ แต่มุ่งเพื่อประโยชน์บ้านเมืองเป็นสำคัญ ซึ่งทุกฝ่ายจะต้องนำไปคิดต่อ จากนี้ไปกระทั่งถึงวันเลือกตั้ง หากนำไปคิดต่อก็จะได้ประโยชน์ พรรคการเมืองเองก็ต้องตอบคำถามเหล่านี้ด้วย ส่วนจะมีการพูดคุยเช่นนี้อีกหรือไม่นั้น นายธงทอง กล่าวว่า ไม่มีการนัดหมายกันว่าจะมีการพบหรือพูดคุยกันใน 20 คนที่มาประชุมกันในวันนี้อีก แต่อาจจะมีวงเสวนาอื่นที่มีการพูดคุยได้ทำนองนี้ หากผู้เข้าร่วมในวันนี้มีความสนใจที่นำไปพัฒนาต่อยอดก็คุ้มค่าแล้ว
ส่วนที่ กปปส.ออกมาระบุว่า เวทีนี้เหมือนมีการตั้งธงไว้ โดยนำนักวิชาการที่มีความคิดคล้ายๆ กันมาร่วม นายธงทอง กล่าวว่า “ลองไปสัมภาษณ์ อ.เจษฎ์ โทณะวณิก ดู ซึ่งก็ไม่ได้เห็นด้วยทุกอย่าง ซึ่งข้อเท็จจริง เราก็ได้เชิญ กปปส.ทุกครั้ง และทุกครั้งก็ไม่ได้ใช้การส่งหนังสือไปทางไปรษณีย์ที่ไม่ได้ให้ความเคารพ เพราะได้ให้ผู้ตรวจราชการสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นบุรุษไปรษณีย์ไปเชิญ ซึ่งก็เป็นการแสดงความปรารถนาและแสดงความเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน”
ขณะที่ นายอนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ที่ประชุมมีความเห็นไปในทางเดียวกัน ทั้งภาควิชาการ และภาคเอกชน คือ 1.เราต้องเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง แต่ไม่ได้มีการกำหนดว่าต้องเป็นเวลาใด ทั้งนี้ส่วนตัวเห็นว่าควรมีการเลือกตั้งตามพระราชกฤษฎีกาในวันที่ 2 ก.พ. 57 โดยมีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปรอบด้าน และปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน 2.การเลือกตั้งต้องเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรม ซึ่งหลังจากนี้ภาควิชาการ และภาคเอกชนที่ร่วมประชุมจะทำหน้าที่ขยายเครือข่ายร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้การเลือกตั้งสะท้อนความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง และ 3.อยากให้พรรคการเมืองมีพันธสัญญาหรือทำสัตยาบันร่วมกัน ในการแก้วิกฤตการเมือง และการปฏิรูป
นอกจากนี้ที่ประชุมยังเสนอให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอยู่ปฏิบัติภารกิจในแง่ของการปฏิรูปประเทศ ให้บรรลุผลแล้วคืนอำนาจให้ประชาชน และควรมีองค์กรที่ทำหน้าที่ปฏิรูปประเทศ ให้มีความยึดโยงกับประชาชน ไม่ทำหน้าที่ทับซ้อนกับรัฐสภา ไม่ฝักใฝ่การเมือง ส่วนรายละเอียดตอนนี้ยังมีความเห็นที่แตกต่าง จึงอยากให้พรรคการเมืองต่างๆ ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้เสนอรายละเอียดขององค์กร
นายอนุสรณ์ กล่าวยืนยันว่า การเสนอความเห็นของนักวิชาการมีความเป็นกลางทางการเมืองเต็มที่ ไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้เปรียบหรือเสียเปรียบกัน โดยเราได้นำข้อเสนอของ กปปส.มาพิจารณาด้วยว่าข้อเสนอไหนจะสามารถรับมาดำเนินการได้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ส่วนในเรื่องกรอบการปฏิรูปนั้น ในที่ประชุมก็ได้มีการแสดงความเห็นว่าอาจใช้เวลา 1-2 ปี หรือมากกว่านั้น เพราะไม่มีประเทศไหนในโลกที่จะปฏิรูปประเทศได้อย่างรวดเร็ว บางประเทศใช้เวลากว่า 10 ปี
ผู้สื่อข่าวถามว่า กปปส.ต้องการให้ปฏิรูปก่อนมีการเลือกตั้งจะทำความเข้าใจตรงนี้อย่างไร นายอนุสรณ์ กล่าวว่า สำหรับจุดยืนส่วนตัวเห็นว่าเราไม่สามารถเว้นวรรคประชาธิปไตย หรือหยุดการเลือกตั้งเพื่อการปฏิรูปประเทศ แต่เราต้องส่งเสริมประชาธิปไตย พัฒนาการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรมเพื่อการปฏิรูปประเทศ เราไม่สามารถหยุดประชาธิปไตยเพื่อปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน แต่เราต้องสร้างประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง และมีคุณภาพเพื่อแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน
ด้าน นายเกษม เพ็ญภินันท์ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ขณะนี้มีหลายกลุ่มพยายามจัดเวทีเสวนาหาทางออกให้กับประเทศเพิ่มมากขึ้น เพื่อรณรงค์ให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบเรียบร้อย โดยมีจุดยืนที่จะยึดโยงประชาธิปไตย ต่อต้านทุจริต ยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม โดยข้อเสนอเหล่านี้จะเป็นรูปธรรมก็ต่อเมื่อพรรคการเมืองทำพันธสัญญา หรือสัตยาบัน โดยเริ่มต้นจากการเลือกตั้งนำไปสู่การปฏิรูป ซึ่งเวทีเสวนาในวันนี้เป็นเพียงข้อเสนอกว้างๆ สนับสนุนให้มีการเลือกตั้ง แต่หลังจากนั้นเป็นเรื่องของพรรคการเมืองที่จะต้องทำหน้าที่ในการปฏิรูป
นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ กล่าวว่า ข้อเสนอของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.เป็นข้อเสนอที่ทุกคนเห็นตรงกัน แต่สิ่งที่เห็นต่างคือวิธีการที่จะนำไปสู่จุดนั้นโดยเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้อย่างไร ซึ่งนายสุเทพไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง เพราะกลัวว่าเลือกตั้งแล้วจะไม่ได้ปฏิรูป ตนจึงเสนอสูตรที่เป็นกลาง ซึ่งไม่ใช่ข้อสรุปแต่หลายฝ่ายจะนำกลับไปพิจารณา คือให้พรรคการเมืองมีการลงสัตยาบันกันเลยว่าให้เว้นการประชานิยมไป 1-2 ปี และเลือกตั้งได้รัฐบาลมาแล้วให้ดำเนินการปฏิรูปประเทศภายใน 1-2 ปี ให้มีสภาประชาชน มีสภาปฏิรูป มี ส.ส.ร.จากนั้นให้ยุบสภา ก็จะเป็นการตอบโจทย์ว่าไม่ใช่เข้ามาเพื่อครองอำนาจ หรือเพื่อใช้นโยบายประชานิยม
นายวีรพัฒน์ กล่าวต่อว่า เวลานี้เป็นเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และพรรคเพื่อไทย (พท.) ต้องแสดงสปิริตทางการเมือง ในส่วนของพรรคเพื่อไทยอะไรที่เคยทำผิดพลาดไว้จนประชาชนไม่พอใจก็ออกมายอมรับและแก้ไข พร้อมบอกว่าสิ่งที่เคยทำผิดพลาดไว้ขอชะงักไว้ก่อนไม่ทำต่อ โครงการหลายโครงการส่อทุจริตหยุดไว้ก่อน แล้วมาวางกลไกปฏิรูปและยุบสภา ถ้าประชาชนเชื่อใจก็จะได้กลับมา เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ มีคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ก็สมควรใช้โอกาสนี้เดินเกมกลับเข้ามาสู่การเลือกตั้งเพื่อสู้และกู้วิกฤต และไปสู้กับพรรคเพื่อไทย จากนั้นก็ยุบสภาเช่นเดียวกัน และทุกฝ่ายก็จะกลับมาสู้ศึกเลือกตั้งก่อนปี 2560
ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนการเลือกตั้งจำเป็นต้องแก้กฎหมายให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์หรือไม่ นายวีรพัฒน์ กล่าวว่า ตอนนี้ไม่มีรัฐสภาที่จะสามารถแก้กฎหมายได้ แต่เรามี กกต.ที่มีอำนาจตาม มาตรา 10 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ในการที่จะออกกฎระะเบียบต่างๆ ที่จะทำให้การเลือกตั้งใสสะอาดบริสุทธิ์มากขึ้น ซึ่งส่วนนี้ไม่ใช่กฎระเบียบธรรมดา เพราะหากออกไปแล้วนักการเมืองไม่เชื่อฟังอาจถึงขั้นยุบพรรคได้ ถือว่าตรงนี้ กกต.มีอำนาจ
“ขอให้คุณสุเทพเข้าใจว่าการปฏิรูปไม่ต้องรอการเลือกตั้ง ปฏิรูปได้เลยในวันนี้ก็คือการทำให้กฎ กติกา การเลือกตั้งที่ กกต.กำหนดมีความหนาแน่น เข้มงวดมากกว่าเดิม และเปิดช่องให้ กปปส.นปช.ภาคประชาชนทั้งหลายร่วมกันเข้ามาเป็นอาสาสมัครช่วยดูแลการเลือกตั้ง สามารถทำได้ตาม มาตรา 25 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน และ กกต.ก็ไปรับรองสถานะ ทำกันไปเลยทั่วประเทศ ทำให้มวลมหาประชาชนเป็นมวลมหาอาสาสมัครประชาชน