ผ่าประเด็นร้อน
ในที่สุดก็เดินมาถึง “หัวเลี้ยวหัวต่อ” สำคัญจนได้ ว่าจะ “หยุดชั่วคราว” หรือ “เลิกไม่เอาแล้ว” กลับบ้านแล้ว เพราะยังไม่เห็นทางชนะ หรือว่าหนทางแห่งชัยชนะยังอีกไกล และสุดท้าย คือ “ยืนหยัดและเดินหน้าสู้ต่อให้ถึงที่สุด”
เชื่อว่าในหมู่ผู้ชุมนุมขับไล่ระบอบทักษิณ ซึ่งหมายรวมถึงการขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังตั้งคำถามว่าจะเอาอย่างไรกันต่อ เพราะแม้ว่าจะมี “มวลมหาประชาชน” ออกมากันมากมายมหาศาลเป็นประวัติศาสตร์เพียงใด พวกกลุ่ม “มารชั่ว” ก็ไม่ยอมไปไหน ตรงกันข้ามยังคอยหาช่องรอจังหวะลอบกัดบ่อนทำลายทุกวิถีทาง และหนึ่งในนั้นก็คือการ “ซื้อเวลาเพื่อให้ม็อบอ่อนแรง” แล้วเกิดความเครียด ผิดหวัง บั่นทอนความฮึกเหิมลงไปเรื่อยๆ
เพราะฝ่ายระบอบทักษิณ เขาก็มีการเรียนรู้ในการเผชิญกับฝ่ายตรงข้าม นั่นคือใช้ “ความยืดหยุ่น” หรือ “สู้พลางถอยไปพลาง” ขณะเดียวกัน สิ่งที่ระบอบทักษิณยังนำมาใช้เป็นทีเด็ดในการตอบโต้ก็คือ อาศัย “เปลือกประชาธิปไตย” นั่นคือ “การเลือกตั้ง” และอ้างว่านี่คือการตัดสินของประชาชนข้างมาก ทั้งที่มันเป็นแค่ “เปลือก” ที่ดูสวยงาม แต่เนื้อในมันเน่าเฟะน่าขยะแขยง เพราะเต็มไปด้วยการ “ซื้อ” ทั้งซื้อล่วงหน้า ผ่านการแจกด้วยนโยบายประชานิยม และประมูลซื้อทั้งในช่วงหาเสียงและวันเลือกตั้ง รวมไปถึงการใช้กลไกรัฐ ข่มขู่คุกคามเอาเปรียบสารพัด ซึ่งเป็นความจริง นับวันจะยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันการเมืองกลายเป็น “ธุรกิจ” ที่ทำกำไรและสร้างอำนาจให้กับใครก็ได้ที่สามารถสร้าง “เครือข่ายระบบทุนสามานย์” ได้อย่างครบวงจรมากที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันมีแต่ “ระบอบทักษิณ” เท่านั้นที่ทำได้
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะเข้มแข็งเพียงใด ปิดปากได้เบ็ดเสร็จแค่ไหนก็ตาม และตราบใดที่ยังมีความโลภ ความเห็นแก่ตัวไม่สิ้นสุด นับวันยิ่งเหิมเกริมไม่เห็นหัวชาวบ้าน ดูถูกชาวบ้านด้วยการเชิดใครมาก็ไม่รู้มากุมชะตาบ้านเมือง จนกระมั่งมาถึงจุดที่ “ทนไม่ไหว” ประชาชนต้องออกมาขับไล่แบบมืดฟ้ามัวดิน แต่คนพวกนี้ก็ยังไม่เคยสำนึก ไม่มีความละอาย ยังหน้าด้านพยายามเกาะอำนาจที่ชาวบ้านเขาไม่ยอมรับอยู่ต่อไป ใช้เล่ห์เหลี่ยมหลุมพรางตบตาสารพัด แม้ว่าจะถูกรุกไล่อย่างไรก็ไม่ไป ซึ่งล่าสุดอย่างที่เห็นกันอยู่เมื่อจวนตัวก็ใช้ “เส้นทางยุบสภาเพื่อหลบหนี” แล้วตัวเองก็ยัง “รักษาการรักษาอำนาจ” อยู่ต่อไป
ซึ่งการยุบสภาด้วยข้ออ้างคืนอำนาจให้ประชาชน ก็ต้องบอกว่านี่คือทีเด็ดของเขา และทำให้ต่างชาติคิดแต่เรื่องเลือกตั้งโอเค พวกโลกสวยหน่อมแน้มก็ใจอ่อน เพราะในเมื่อรัฐบาลถอยแล้ว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็บีบน้ำตาสำทับเข้ามาอีกว่า “ถอยไม่รู้จะถอยยังไงแล้ว” จะเอาอะไรกันอีก มันก็ยิ่งทำให้คนที่มองอะไรฉาบฉวยไม่ได้พิจารณาและเข้าใจในรายละเอียด สำคัญก็คือไม่ทันเหลี่ยมของมารเหล่านี้
แน่นอนการสู้แล้วยังไม่ชนะสักที การโหมแรงออกมาเต็มเหนี่ยวเพื่อหวังคิดว่า “จะจบ” แต่มัน “ไม่ยอมจบ” หาทางซื้อเวลาให้มวลชนอ่อนแรง อ่อนล้าลงไปเรื่อยๆ
นี่คือสถานการณ์จริงในเวลานี้!!
อย่างไรก็ดี เมื่อมีความพยายาม “บั่นทอน” กำลังใจ อีกด้าหนึ่งมันก็ย่อมมีทางออก นั่นคือ “ต้องปรับกระบวนสู้ใหม่” ให้พร้อมรับทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะแบบ “รวบรัด” หรือ “ยืดเยื้อ” โดยที่เราต้องกดดันตัวเองให้น้อยที่สุด และแน่นอนว่าระบอบทักษิณกำลังใช้วิธี “ตั้งรับแบบยืดเยื้อ” เพื่อหวังให้มวลชนอ่อนแรงแล้วค่อยโต้ตอบแบบฉับพลัน หรือรอให้กระแสสังคมตีกลับ
ดังนั้น การต่อสู้คราวนี้คงต้องยืดเยื้อไปอีกสักพัก ซึ่งมวลชนต้องพยายามทำความเข้าใจและยอมรับความจริง ขณะเดียวกันก็ต้องย้ำกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า “เป้าหมาย” ของเขาคืออะไร เพื่อปฏิรูปประเทศไทย วางรากฐานใหม่ ไม่ใช่สู้เพื่อใคร ไม่ได้สู้เพื่อพรรคการเมืองใด แต่เราสู้เพื่อตัวเราเอง เพื่อลูกหลานเราเอง เพื่ออนาคตทุกคน ถ้าเราได้คำตอบกับตัวเองชัดเจนว่าเรายังมุ่งมั่นแบบนี้ไม่เปลี่ยนแปลง เราก็ต้องไม่ถอย แต่ก็ต้องปรับกระบวนใหม่ นั่นคือกลับมาใช้วิธี “สู้ให้เป็น เย็นเรื่อยไป” ยืดหยุ่นได้ทุกสถานการณ์เช่นเดียวกัน
แน่นอนว่าทุกคนย่อมมีภารกิจ มีงานการที่ต้องทำ ต้องหารายได้ จะยืนหยัดต่อเนื่องตลอดไปไม่ได้ ดังนั้นก็ต้องปรับวิธีใหม่ ให้มีการหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไปมา คนต่างจังหวัดก็กลับไปพัก แล้วให้คนที่สดใหม่เข้ามา ขณะที่คราวนี้มีพี่น้องในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเข้ามาร่วมมากมาย ก็ใช้มวลชนที่อยู่ใกล้แบบนี้สมทบเข้ามาเพื่อ “รักษาพื้นที่” เอาไว้ แต่ที่สำคัญมาถึงสถานการณ์แบบนี้ “กำนัน” จะต้องถามมวลชนเหล่านั้นอีกครั้งใหีแน่ใจว่าจะเอาอย่างไร “สู้ต่อหรือไม่สู้” และเชื่อว่าคงจะได้รับคำตอบว่า “สู้” ต่อแน่นอน เพราะเราเดินมาไกลแล้ว จะถอยกลับแบบมือเปล่าไม่ได้อีกแล้ว ขณะเดียวกันถ้าผ่านสถานการณ์อึดอัดรำคาญแบบนี้ไปได้ ทางข้างหน้าก็โล่งแล้ว เพียงแต่ว่าต้องอดทน และไม่วอกแวก ต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์จริงให้ได้เท่านั้น
อีกทั้งแกนนำก็ต้องแน่วแน่ด้วย!!