“พานทองแท้” ยันคอร์รัปชันเป็นทุกพรรค แนะดูด้านบวก ชี้ตระกูลชินวัตรทำคุณให้บ้านเมือง 30 บาทรักษาทุกโรค ปราบยาเสพติด หวยใต้ดินขึ้นบนดิน โครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ส่วน ปชป.โอ๊คบอกคิดออกอย่างเดียวไข่ชั่งกิโลขาย วอน ปชป.เห็นแก่ประเทศชาติมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว การปฏิรูปต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข 3 ต้อง และ 2 ไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 10 ธ.ค. เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้ต้องหาหนีคดีอาญาแผ่นดิน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Oak Panthongtae Shinawatra ว่า “ข้อกล่าวหาเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน เกิดขึ้นกับนักการเมืองทุกพรรคฯ เอาแค่พรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียวนับดูแล้วประเทศน่าจะเสียหายเป็นหลักหลายแสนล้านบาท ผมคิดว่าไม่เคยมีพรรคฯการเมืองไหน แม้แต่พรรคเดียวในประเทศไทย จะพ้นมลทินจากเรื่องเหล่านี้ไปได้
เราลองมาดูทางด้านบวกกันบ้าง ขอให้ลองนึกถึงประโยชน์ ที่นักการเมืองทั้ง 2 ฝั่ง ทำให้กับประเทศชาติบ้านเมือง แล้วนำมาเปรียบเทียบกัน สิ่งที่ตระกูลชินวัตร ทำให้กับประเทศชาติบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค จัดระเบียบสังคม กองทุนหมู่บ้าน โครงการSML การประกาศสงครามกับยาเสพติด เอาหวยใต้ดินขึ้นมาบนดิน มาจนถึงแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ฯลฯ อีกมาก ซึ่งบางโครงการผ่านมาเป็นสิบปี ก็ยังคงอยูในหัวใจพี่น้องประชาชนครับ
มาดูพรรคเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์มั่ง ผมให้ 2 ตระกูลเลยครับ เวชชาชีวะ+เทือกสุบรรณ และต่อให้ให้ สส.ที่ลาออกทั้งพรรคฯ ร้อยกว่าคน ช่วยกันคิดช่วยกันพูดหน่อยว่า มีโครงการอะไรของปชป.ที่ชาวบ้านเขาจดจำกันได้บ้าง นอกจากเอ่อออ....ผมนึกออกอันเดียวครับ....ไข่ชั่งกิโลขาย ซึ่งจนถึงวันนี้ใครลองเอาไมค์ไปจ่อปากถามนายอภิสิทธิ์ฯ ผมบอกไว้ก่อนเลยว่าแกก็ยังตอบว่า ไข่ชั่งกิโลขายเป็นโครงการที่ดีอยู่เหมือนเดิม
คนที่ไม่มีผลงานให้คนจำได้ ก็มักจะว่าแต่จุดบกพร่องของผู้อื่นครับ เมื่อจะกล่าวหาว่าคนอื่นเลว ก็ต้องหาประเด็นและแนวทางแก้ไข อยากจะเสนอการปฏิรูปการเมืองให้ดีขึ้น ผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชน และทุกพรรคการเมือง ในประเทศไทยเขาเห็นด้วยทั้งนั้น แต่การปฏิรูปที่จะเกิดขึ้นนั้น จะต้องไม่หลุดออกจากหลักการ 3 ต้องและ 2 ไม่ ดังต่อไปนี้
1. ต้องคงระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และคงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ อยู่ตลอดเวลาทุกลมหายใจ โดยไม่ตีความรัฐธรรมนูญแบบเข้าข้างตัวเอง ดังเช่นที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยบังอาจขอพระราชทานนายกรัฐมนตรี จนทรงมีรับสั่งว่า มาตรา 7 ไม่เป็นประชาธิปไตย
2. พรรคการเมือง 2 ขั้วใหญ่ต้องเสนอตัว เพื่อเป็นทางเลือกให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อเข้าไปทำงานโดยยึดระบบรัฐสภา อย่าไปกลัวแพ้จนขี้ขึ้นสมอง อ้างนู่นอ้างนี่โดยไม่มีเหตุอันควร แล้วบอยคอตเลือกตั้งเหมือนที่เคยทำ
3. ต้องเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วน มีส่วนร่วมทางการเมื่ออย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เพียง “มวลมหาประชาธิปัตย์” ฝ่ายเดียวเท่านั้น
แล้วก็ 2 ไม่ คือ การไม่ทำสูตรสำเร็จแบบบ้องตื้น ประเภท
1. ไม่สร้างสถานการณ์โดยใช้ชีวิตและเลือดเนื้อ ของพี่น้องคนไทยเป็นเดิมพัน โดยใช้วิธีพาคนไปตาย เพื่อยั่วยุให้ทหารออกมาพาประเทศถอยหลัง และเกิดสูญญากาศทางประชาธิปไตยอีกครั้ง
2. ไม่เกิดเหตุการณ์ที่องค์กรอิสระเจตนาหักดิบด้วยการ ตัดสินให้แกนนำฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ในเวลาที่เตี๊ยมกันเอาไว้ เพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมือง ดังเช่นที่พรรคไทยรักไทยและพลังประชาชน เคยโดนมาแล้ว
3 ต้อง 2 ไม่ นี้จำกันไว้ให้ดี และควรยึดหลักการโดยเห็นแก่ประเทศชาติ มากกว่าประโยชน์พรรคพวกตน เถอะครับ ทั้งแกนนำพรรคฯ และแกนนำม็อบของพรรคประชาธิปัตย์..!!”