กลับเข้าสู่โหมดรบแตกหักกันอีกครั้งหลังผ่านพ้นช่วงวันสำคัญ 5 ธันวามหาราชกันไปเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เวลานี้ การเคลื่อนไหวเพื่อต่อสู้โค่นล้มระบอบทักษิณ ยังดำเนินต่อไป
สุเทพ เทือกสุบรรณ หัวหมู่ทะลวงฟันของ คณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส.ย้ำอีกครั้งเมื่อ 4 ธ.ค. 56ว่า เมื่อผ่านพ้นวันสำคัญ 5 ธันวาคมฯ ไปแล้ว กปปส.จะกลับมาเคลื่อนไหวใหญ่อีกครั้งเพื่อมุ่งเผด็จศึกรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและระบอบทักษิณให้ได้
จะเร่งเผด็จศึก-ใกล้ชนะแล้ว
สุเทพพูดทำนองนี้มาหลายครั้งแล้ว จนถูกมองว่าเป็น ลีลาการเมืองแบบ กำนันสไตล์ ของกำนันสุเทพ ที่ต้องพูดเพื่อปลุกเร้าสร้างความฮึกเหิมให้กับมวลชน แต่ก็จะเห็นได้ว่า เมื่อสุเทพ ลั่นกลองรบแต่ละครั้งในช่วงสุดสัปดาห์ตลอดช่วง4-5 อาทิตย์ที่ผ่านมา ก็มักจะมีการเคลื่อนไหวสำคัญเกิดขึ้นทุกครั้ง
มาครั้งนี้ เมื่อสุเทพ ย้ำอีกครั้งว่าต้องเผด็จศึก ให้จบโดยเร็ว ก็ต้องฟังคำสุเทพไว้ก่อนว่า เอาจริงเอาแน่ แต่จะสำเร็จหรือไม่และจะสำเร็จเมื่อใด ก็ไปว่ากันอีกที
สถานการณ์ที่พออ่านทิศทางได้ แต่ยากต่อการบอกถึงตอนจบของสถานการณ์ได้ จุดนี้จึงย่อมทำให้ยากต่อการประเมินไม่น้อยว่า ความเป็นไปในการต่อสู้ของมวลชนเพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณ-ปฏิรูปประเทศไทย ในรอบสัปดาห์นี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
“ทีมข่าวการเมือง”ดูสภาพการตั้งรับและสวนกลับของทักษิณ -ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในช่วงสถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อ เจียนอยู่เจียนไปแบบนี้ ซึ่งตามข่าวล่าสุดยังพบว่า ทักษิณ-แกนนำเพื่อไทย ยังไม่ยอมง่ายๆ เพราะยังมั่นใจว่ายังสามารถต้านทานแรงขับไล่ระบอบทักษิณได้อยู่ แม้แทนที่ระยะเวลาการเผด็จศึกระบอบทักษิณซึ่งเลื่อนมาแล้วหลายรอบ มวลชนก็หาได้ ลดลงมีแต่ทรงตัวและเพิ่มมากขึ้นตามความร้อนแรงของสถานการณ์แม้จะต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เพื่อสู้กับแนวป้องกันของพวกตำรวจรับใช้ระบอบทักษิณ ก็ไม่มีคำว่า
กลัวหรือถอย
ความจริงในเรื่องนี้ ย่อมทำให้ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ คิดได้แล้วว่า หากจะใช้วิธีการตาต่อตา ฟันต่อฟัน กับประชาชน มีแต่จะทำให้ อำนาจหลุดมือเร็วขึ้น ความชอบธรรมยิ่งมีน้อยลง จึงต้องมุ่งเน้นไปที่ แนวทางการยื้อและหาวิธีเจรจา เป็นหลักในช่วงนี้
ควบคู่ไปกับ การให้ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) หาช่องทางจัดการกับสุเทพและแกนนำกปปส. ด้วยวิธีการที่กฎหมายเปิดช่องให้ที่คงไม่ได้มีแค่การใช้ตำรวจ ไปยื่นเรื่องต่อศาลอาญาเพื่อขออนุมัติออกหมายับ สุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยตำรวจระบุความผิดสุเทพไว้ว่ามีความผิดข้อหาร่วมกันเป็นกบฏ
กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่อง ในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญ ว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยมีอาวุธ โดยเป็นหัวหน้าหรือผู้มีหน้าที่สั่งการ และเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแต่ไม่เลิก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113, 215 ประกอบ 216 ที่ศาลก็ได้อนุมัติตามที่ตำรวจยื่นเรื่องไป
รวมถึงการที่ตำรวจได้ออกหมายจับแกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ(คปท.) 4 คนคือ นิติธร ล้ำเหลือ, อุทัย ยอดมณี, รัชตชยุต หรือ อมร ศรีโยธินศักดิ์ และพิชิต ไชยมงคล ในข้อหามั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป จากกรณีเป็นแกนนำประชาชนบุกเข้าไปยังกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งศาลก็อนุญาตให้ออกหมายจับตามคำร้องของตำรวจ
ประเมินได้ว่า ศอ.รส.ยุคที่ทักษิณส่ง รัฐมนตรีผู้สนองตอบระบอบทักษิณจนได้ดีอย่าง สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศมากำกับดูแลศอ.รส.คงไม่จบแค่ให้ตำรวจออกหมายจับแกนนำกปปส.เท่านั้น แต่จะต้องหาวิธีการอื่นๆ มาลดทอนพลังของมวลชนอีกหลายวิธีการ
เอาที่โผล่มาแล้ว ก็คือการที่ สุรพงษ์ออกมาขู่ฟอดกับประชาชน-บริษัทเอกชน ที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของมวลชนที่ตั้งเวทีใน 3 จุดใหญ่คือถนนราชดำเนิน-กระทรวงการคลัง-ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเงินช่วยเหลือ-ช่วยบริจาคสิ่งของ ว่าศอ.รส.อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวบริษัทห้างร้านหรือกลุ่มบุคคลที่ให้การสนับสนุนสุเทพและกปปส. หากพบการกระทำดังกล่าว จะถือว่ามีความผิดเพราะตัว สุเทพ ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีกบฏ ใครที่ไปหนุนหลัง สุเทพ อาจจะถูกเอาผิดไปด้วย โดยศอ.รส.ทำเป็นขู่ว่า มีข้อมูลกลุ่มผู้ให้การสนับสนุนการชุมนุมไว้แล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้
ศอ.รส.ออกมาขู่แบบนี้ เพราะความเชื่อแบบเดิมๆ รวมถึงความเคยชินของคนในรัฐบาลเพื่อไทยว่า การจัดตั้งม็อบ จะต้องมีท่อน้ำเลี้ยงขนาดใหญ่หนุนหลัง ไม่เช่นนั้น ม็อบเกิดและอยู่ไม่ได้ เพราะคิดว่าเมื่อม็อบเสื้อแดงของฝั่งตัวเอง ใช้เงินมาก ดังนั้น ม็อบกปปส.ก็ต้องมีท่อน้ำเลี้ยงหนุนหลัง ไม่ใช่แค่การบริจาคเงินข้างเวที ไม่เช่นนั้นคงไม่อยู่มาได้เดือนกว่าเข้าไปแล้ว
เหล่านี้คือชุดระบบความคิดที่ผิดพลาดของทักษิณ-ยิ่งลักษณ์-ศอ.รส. ในการกลั่นกรองข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเมื่อข้อมูลที่ได้มาคลาดเคลื่อน ก็ทำให้การประเมินสถานการณ์ผิดพลาดมาตลอด หรือไม่ก็พยายามบิดเบือน ทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่าม็อบกปปส.ไม่ว่าจุดไหนต่อจุดไหน มีแต่ประชาชนเอาเงิน-สิ่งของมาบริจาคให้ไม่เคยขาด และทำแบบเปิดเผย
ที่สำคัญทุกคนที่ทำ ไม่เคยกลัวรัฐบาลจะมาเล่นงานภายหลัง
รวมถึงคนที่มาร่วมชุมนุม ก็ไม่ต้องจ้าง จึงเป็นม็อบที่ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรมากมายแบบพวกท่อน้ำเลี้ยงเสื้อแดง
หาก ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์-แกนนำเพื่อไทย-ศอ.รส.ยังประเมินสถานการณ์ผิดๆ หรือให้ข้อมูลข่าวสารอันบิดเบือนแบบนี้ต่อไป นอกจากจะเป็นการเรียกแขกให้ออกมาชุมนุมมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วจะยิ่งทำให้รัฐบาลนับถอยหลังรอวันไปเร็วขึ้น ไม่เชื่อก็คอยดู
อย่างไรก็ตาม ที่หลายคนอยากรู้ก็คือแล้วถสานการณ์จะเดินไปสู่จุดไหน อย่างไร สุดท้าย ทักษิณ -ยิ่งลักษณ์ จะเอาอย่างไร?
คำถามนี้ เราก็เชื่อว่า หากถึงจุดที่สถานการณ์เข้าสู่ทางตัน และแก้ไม่ได้ วิธีการที่ ทักษิณ จะทำก็คือ
ยุบสภาฯ
เป็นการยุบสภา ฯภายใต้กติกาปกติ จะไม่ยอมเอาด้วยกับแนวทางการไปสู่การจัดตั้ง สภาประชาชน อย่างที่สุเทพ และกปปส.ต้องการเด็ดขาด
เหตุที่ทักษิณจะตัดสินใจใช้วิธีการ แก้ปัญหาด้วยการยุบสภา ฯ ก็เพราะเชื่อมั่นว่าวิธีการนี้คือทางออกที่ดีที่สุด เพื่อทำให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ จนทำให้ฝ่ายสุเทพ หมดความชอบธรรมในการเคลื่อนไหว เพราะจะอ้างว่า คืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจแล้ว ม็อบจะมาเอาอะไรอีก
แต่ก็เชื่อได้ว่ากว่าทักษิณ จะถอยร่น ยอมให้มีการยุบสภาฯเกิดขึ้น ก็คงยื้อต่อไปเรื่อยๆ ยื้อให้นานที่สุด และชนกับฝ่ายสุเทพ แบบ ชนไป-คุมเชิงกันไป ไม่ยอมให้น้องสาวตัวเองเพลี่ยงพล้ำได้ง่ายๆ หากต้องแรงแล้วแลกกับการที่ตัวเองและน้องสาวไม่แพ้ ก็เชื่อว่า ทักษิณ คงไม่ลังเล ที่จะสู้
เพราะด้วยบุคลิกลักษณะของทักษิณที่เห็นกันมาตลอด ตั้งแต่การชุมนุมขับไล่ทักษิณ ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตลอดช่วงปี 2549 ก่อนที่จะมีการรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย. 49 ทักษิณ ก็ยื้อจนไปไม่ไหว จนสุดท้ายต้องยอมยุบสภาฯ โดยไม่ยอมลาออกหรือประกาศเว้นวรรคการเมืองอย่างที่แกนนำพันธมิตรฯต้องการ เพื่อทำให้เห็นว่า ใครก็มาบังคับอะไรไม่ได้ เพราะตัวตนของทักษิณ ก็อย่างที่ทักษิณเคยบอกไว้ว่า ในชีวิตนี้ สะกดคำว่า “แพ้”ไม่เป็น
เช่นเดียวกับตอนที่พันธมิตรฯออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลนอมินี สมัคร สุนทรเวช-สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ร่วม 193 วัน ก็เป็นทักษิณ ที่ดันหลังตลอดไม่ให้ถอย ไม่ให้โยนผ้าขาว ก่อนที่รัฐบาลนอมินีจะล่มสลายจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในคดีชิมไปบ่นไปและคดียุบพรรคพลังประชาชน
ผนวกกับก็เชื่อว่า ทักษิณและแกนนำเพื่อไทย ช่วงนี้น่าจะมีการประเมินความเป็นไปได้ทางการเมืองไว้แล้วว่า หากมีการยุบสภาฯ พรรคเพื่อไทยน่าจะได้ส.ส.ประมาณแค่ไหน ซึ่งก็เชื่อว่าทักษิณยังมั่นใจว่า แม้เพื่อไทยอาจได้ส.ส.น้อยลงจากการเลือกตั้งเมื่อ 3ก.ค. 54 แต่ก็ไม่น่าจะน้อยลงไปจากเดิมที่เพื่อไทยเคยมีส.ส.หลังเลือกตั้งปี 54 ที่ได้มา 265 ที่นั่งมากนัก ตัวเลขน่าจะยืนได้อยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 220 ที่นั่งทั้งระบบเขตและปาร์ตี้ลิสต์แบบสบายๆ และพรรคร่วมรัฐบาลเวลานี้ ก็น่าจะแฮปปี้มากในการจับมือกับทักษิณ-เพื่อไทย มากกว่าจะไปจับมือกับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและประชาธิปัตย์ที่ไม่น่าจะได้ส.ส.มากกว่าเพื่อไทย
การยุบสภาฯ ของยิ่งลักษณ์โดยการอนุมัติของทักษิณ หากจะเกิดขึ้น ก็คงเกิดเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เจียนตัวจริงๆ จำเป็นต้องใช้วิธีการนี้ แล้วจะไปถึงจุดนั้นได้เมื่อไหร่ ก็อยู่ที่สุเทพ-กปปส.-มวลมหาประชาชน ด้วยว่า จะยืนระยะได้นานแค่ไหน
และหากมีการยุบสภาฯเกิดขึ้นจริง จะยอมรับได้ไหม หากยุบสภาแล้วไม่สามารถปรับโหมดให้เกิดสภาประชาชนอย่างที่ต้องการได้ ถ้ารับกันไม่ได้ ก็สู้กันไปอีกหลายยก