รายงานการเมือง โดย แสงตะวัน
การต่อสู้ในศึกมวลมหาประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณเริ่มทวีความเข้มข้นขึ้นทุกขณะ ภายใต้การนำของ “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” หรือ กปปส. ห้ำหั่นกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต่อเนื่องมาถึงวันนี้
ข้อชี้ขาดในการศึกทั้งสองฝ่ายรู้ดีว่าหากใครใช้ความรุนแรง หัน “กระบอกปืน” เข้าฝ่ายตรงข้ามก่อน โอกาสที่จะต้องตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็จะตกอยู่กับฝ่ายนั้นทันที ดังนั้นการรบยืดเยื้อชิงไหวชิงพริบบนความอดทนอดกลั้นจนเป็นกลยุทธ์สำคัญในศึกครั้งนี้
ยังเหลืออีกหลายยกให้ต้องปะทะกัน เพื่อพิสูจน์กันให้รู้ว่าใครอึดใครทนมากกว่ากัน และ “วัดกึ๋น” การเมืองว่าใครเหนือกว่ากัน
จากที่วันที่เปิดฉากลุย “สุเทพ เทือกสุบรรณ” แกนนำ กปปส.วางหมากให้มวลชนเข้ายึดสถานที่ราชการหลัก 14 จุดไล่ตั้งแต่ 1. ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ 2. กสท โทรคมนาคม 3. บริษัท ทีโอที จำกัด 4. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) 5. กระทรวงยุติธรรม 6. กระทรวงพาณิชย์ 7. กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ 8. กระทรวงมหาดไทย 9. กระทรวงแรงงาน 10. กระทรวงการต่างประเทศ 11. กรมประชาสัมพันธ์ 12. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) 13. กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และ 14. ทำเนียบรัฐบาล
ซึ่ง กปปส.เข้ายึดพื้นที่ได้เกือบทั้งหมด ยกเว้นที่ “ทำเนียบรัฐบาล-สตช.-บช.น.” ตามยุทธศาสตร์ของ “สุเทพ” แล้วสถานที่ที่สำคัญที่สุด และต้องยึดมาให้ได้ก็คือ “ทำเนียบรัฐบาล”
ที่เหลือเป็นแค่ “ตัวหลอก” เพื่อสร้างความสับสนและบีบให้ตำรวจต้องกระจายกำลังไปรักษาพื้นที่เอาไว้
ที่ “สุเทพ” ต้องการให้ “กปปส.” เข้ายึด “ทำเนียบรัฐบาล” เพราะนี่คือ “หัวใจ” ของการบริหารงานประเทศหากยึดมาได้ก็เหมือนเป็นสัญลักษณ์ของ “ชัยชนะ” ที่ กปปส.มีเหนือรัฐบาล
แต่รัฐบาลย่อมรู้ดีว่า “ทำเนียบรัฐบาล” มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์จึงสั่งตรึงกำลังอย่างหนาแน่น ยอมให้ยึดไม่ได้โดยเด็ดขาด
เกมยึดทำเนียบรัฐบาลในยกแรกจึงต้อง “เจ๊า” กันไปก่อน ต่างฝ่ายต่างกลับไปคิดยุทธศาสตร์กันใหม่ว่าจะล่อลวงฝ่ายตรงข้ามอย่างไรถึงจะได้เปรียบทำให้สมรภูมิตรงนี้มีภาคต่อให้ติดตามอย่างแน่นอน
ปะทะก็ปะทะกันไป การช่วงชิงความได้เปรียบในด้านข่าวสารก็มีความสำคัญอย่างมากที่ต้องวัดกึ๋นกัน
เมื่อ “สุเทพ” ออกแถลงการณ์ของ กปปส.ชี้แจงเหตุผลที่ต้องออกมาเคลื่อนไหว ตราหน้า “รัฐบาล” ไม่ยอมรับอำนาจ “ศาลรัฐธรรมนูญ” พ่วงด้วยข้อหาออก “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม”
พร้อมทั้งสั่งการให้ข้าราชการหยุดงานในวันนี้ (2 ธ.ค.) เพื่อไม่รับอำนาจรัฐบาลและออกมาร่วมชุมนุมกับมวลมหาประชาชนในนาม กปปส.
ฝั่งรัฐบาลคอยดักจังหวะสองแก้เกมกลับด้วยการให้ “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” นำขบวนรองนายกรัฐมนตรีนั่งเรียงหน้าแถลงจุดยืนของรัฐบาล ชี้แจงข้อกล่าวหาของ “สุเทพ” ทั้งหมด
แถมบลั๊ฟกลับตั้งข้อหา“กบฏ” ให้ “สุเทพ” โทษหนักถึงขั้น “ประหารชีวิต” เบาหน่อยก็ “จำคุกตลอดชีวิต”
ถือเป็นเกมที่ต้องวัดกันนาทีต่อนาที
แต่เกม “วัดกึ๋น” ที่มาเหนือเมฆแต่เป็นท่าทีที่สำคัญสุดคือ “กองทัพ” โดยเฉพาะ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เหมือนเลือกแล้วว่าอยู่ข้างไหน เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมาให้ชัดเจนนัก
การต่อสายโทรศัพท์ตรงไปยัง “พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในฐานะ ผอ.ศอ.รส. ขอไม่ให้ตำรวจใช้แก๊สน้ำตายิงเข้าใส่ประชาชนเป็นการส่งสัญญาณเตือนแล้วว่า “บิ๊กตู่” ไม่ยี่หระกับรัฐบาลแล้ว
ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าคำขอให้งดใช้ “แก๊สน้ำตา” ไม่มีทางที่รัฐบาลจะยอมทำตามแต่ที่สั่งเพราะรู้ว่าไม่ทำตาม เมื่อไม่ทำตามคำขอ “บิ๊กตู่” จึงอาศัยช่องว่างจุดนี้นำมาแปรเปลี่ยนเป็นข้ออ้างที่จะ “อารยะขัดขืน” ต่อรัฐบาลได้เช่นกัน
ช็อตสอง ข่าววงในจาก “สายทหาร” ยืนยันชัดเจนว่า “บิ๊กตู่” อาสาเป็นมือดีลต่อสายตรงไปยัง“ยิ่งลักษณ์” กดเบอร์โทรออกไปยังเบอร์ที่คุ้นเคยขอเป็นกาวใจให้ “ยิ่งลักษณ์” ได้พบกับ “สุเทพ” เพื่อเจรจาหาทางออก
โดยทั้งสองฝ่ายนัดพบกันที่กองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 พัน.4 รอ.) ถนนวิภาวดี-รังสิต เป็นการนัดพบต่อหน้า “ผบ.เหล่าทัพ” ทั้งหมดร่วมเป็นสักขีพยานในการพูดคุยเจรจาต่อรอง
ทว่า ภายหลังการเจรจาต่อรองซึ่งเนื้อหายังไม่ปรากฏต่อสาธารณะ “สุเทพ” ก็ชิงจังหวะได้เปรียบออกมาแถลงข่าวยืนยันความบริสุทธิ์ใจที่เดินทางไปพบ “ยิ่งลักษณ์” ทันที
โดยเน้นย้ำว่าไม่มีการเจรจาต่อรองใดๆ เพียงแต่ไปแสดงจุดยืนให้รัฐบาลได้รับรู้ พร้อมยื่นเงื่อนไขจัดตั้ง “สภาประชาชน” บีบให้ “ยิ่งลักษณ์” ต้องเลือกระหว่างยอมลงจาก “อำนาจ” กับจะปล่อยให้ประเทศไทยต้อง “นองเลือด” อีกครั้ง
เซียนการเมือง “ขั้นเทพ” อย่าง “สุเทพ” รู้เต็มอกว่าหากไปพบ “ยิ่งลักษณ์” แล้วไม่ยอมนำความมาบอกกับ “มวลชน” มีหวังเสียรังวัด-เสียแต้มอาจจะถึงขั้น “แพ้” เลยก็ได้
แต่เมื่อชิงจังหวะแถลงข่าวได้เสมือนผลักภาระทุกอย่างไปให้ “ยิ่งลักษณ์” ที่ต้องตัดสินใจและผลักภาระความรับผิดชอบไปให้เต็มๆ
ตรงกันข้ามฝั่ง “ยิ่งลักษณ์” กลับไม่มีการแก้เกมอะไรออกมาหลังจากที่ “สุเทพ” ออกมาแถลงการณ์พบปะครั้งนี้
เหมือนบรรดา “กุนซือ” ข้างกายจะติดนิสัยโอ๋...“ยิ่งลักษณ์” จนเคยตัวทำให้ผิดพลาดอย่างแรงในการไม่มีภาพ “ยิ่งลักษณ์” ออกมาแถลงหลังการเจรจากับ “สุเทพ” ทั้งๆ ที่สามารถชิงตัดหน้าแถลงข่าวก่อนได้ด้วยซ้ำ
ไม่เท่านั้น ตลอดทั้งวันของเมื่อวาน (1 ธ.ค.) ที่มีเหตุการณ์รุนแรงในหลายจุดจนเฉียดเข้าขั้นสงครามกลางเมือง “ยิ่งลักษณ์” ก็ทำตัวเป็นนางอายหลบหน้าหลบตาไม่ออกมาแสดงภาวะความเป็นผู้นำให้ปรากฏ ส่งผลให้มีข่าวลือไปต่างๆ นานา ศรัทธาที่อยู่ในระดับต่ำติดดินอยู่แล้วก็ยิ่งลดฮวบลงไปอีก
เกม “วัดกึ๋น” กระดานนี้คนเครือข่าย“ชินวัตร” เดินหมากตามหลัง “กำนันท่าสะท้อน” หลายขุม ดีไม่ดีอาจ “แพ้” ทั้งกระดาน เกมที่ต้องวัดกันนาทีต่อนาที คนเครือข่าย “ชินวัตร” แสดงความอ่อนหัดออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุด
เวลานี้รัฐบาลเหมือนไม่มีที่พึ่งอื่นนอกจาก “ตำรวจ” ที่ออกมาก็แค่รักษาพื้นที่เอาไว้ไม่มีความสามารถพอที่จะรุกเข้าใส่ผู้ชุมนุม เมื่อไม่มีแผ่นหลังของ “กองทัพ” ให้พิงรัฐบาลก็คงจนกระดานเข้าสักวัน
แต่บุคคลที่ต้องจับตาท่าทีทุกฝีก้าวหนีไม่พ้น “บิ๊กตู่” ให้ดี เพราะปฏิบัติการ 1 ธ.ค.ของ “บิ๊กตู่” ถูกตีความว่าเป็น “ปฏิวัติเงียบ-ซ่อนรูป” และอาจจะตามมาด้วย “ปฏิวัติ” จริงก็เป็นได้