รวมมิตรสารพัดวิธีสกัดม็อบ ทั้งใต้ดิน-บนดิน จากตะปูเรือใบ-ปิดป้ายห้ามหลงเชื่อชุมนุม ยันจดหมายข่มขู่เอาชีวิต หวังรักษาอำนาจที่ยึดครองไม่ให้สูญเสีย
คำประกาศเป้าหมายล้านคนบนถนนราชดำเนิน เพื่อยกระดับการชุมนุมขั้นสูงสุด ขจัดระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทย ไม่เพียงส่งผลให้มวลชนจากทั่วสารทิศของประเทศ มุ่งหน้าสู่จุดหมายเดียวกันนั่นคือถนน แห่งประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หากแต่ยังสร้างความหวาดหวั่นพรั่นพรึงให้แก่ผู้กุมอำนาจ ด้วยเกรงว่าอำนาจที่ยึดครองอยู่นั้นจะสูญเสียไป
จึงไม่แปลกที่นับเนื่องจากเริ่มมีการชุมนุมต่อต้านโค่นล้มระบอบทักษิณ กระทั่งการชุมนุมต่อต้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เราจึงพบเห็นทั้งการใช้กลไกรัฐ และกระบวนการใต้ดิน สกัดกั้น ข่มขู่ ขนมวลชนสู้ เพื่อให้มวลชนเกิดความเกรงกลัว ไม่กล้า หรือสามารถเดินทางร่วมชุมนุมได้ สด ๆ ร้อน กลางดึกต่อเนื่องเช้าวันที่ 24 พ.ย. ที่กลุ่มมวลชนภาคใต้ ซึ่งเดินทางด้วยรถบัสกว่า 10 คัน มุ่งหน้าหน้าเข้ากรุงเทพมหานคร เพื่อร่วมชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน แต่ระหว่างรถเดินทางมาถึงบ้าน ห้วยยาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ รถกลับเหยียบเข้ากับตะปูเรือใบที่โปรยไว้บนถนนเพชรเกษม ทำให้ต้องเสียเวลานานหลายชั่วโมงกว่าจะเคลียร์พื้นที่เดินทางต่อได้
หรืออย่างการใช้กฎหมายมาเป็นข้ออ้างสกัดกั้นทำให้ผู้ที่จะเข้าร่วมชุมนุมเกิดความเกรงกลัว เช่นมีการปิดป้ายเตือนผู้ที่จะเข้าร่วมชุมนุมไว้ตามพื้นที่สาธารณะต่างๆ ทั่วกรุงเทพมหานคร เช่น ป้ายรถเมล์ ตู้โทรศัพท์ ในทำนองว่าขณะนี้มีผู้ไม่หวังดีชักชวนไปร่วมชุมนุมปิดถนนบริเวณรัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล และบริเวณใกล้เคียงซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมตาม พ.ร.บ.ความมั่นคง อาจถูกจับกุม ควบคุมไปดำเนินคดีได้ จึงขออย่าหลงเชื่อหรือให้การสนับสนุน เป็นต้น
ไม่รวมถึงการออกประกาศเตือนของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง แจ้งเตือนบุคคลต่างด้าวๆ ต่างว่ากรณีเข้าร่วมชุมนุม หรือขึ้นปราศรัยบนเวทีทางการเมืองอาจทำให้ถูกถอนก่ารอนุญาต หรือไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ ซึ่งลักษณะดังกล่าวยังอาจทำให้เกิดเป็นประเด็นกล่าวหาในภายหลังได้ว่า ผู้ที่มาร่วมชุมนับหมื่นแสนนั้นส่วนใหญ่ไม่ใช่คนไทย หากแต่เป็นคนต่างด้าวที่ แกนนำผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลมีการจัดหามาหรืออาจสร้างสถานการณ์ว่าสามารถควบคุมตัวแรงงานต่างด้าวได้จากพื้นที่การชุมนุมอีกด้วย
ยังไม่รวมถึงก่อนหน้านี้ที่รัฐมีการขับเคลื่อนจะใช้กลไกของกรมสอบสวนคดีพิเศษ จัดการกับแกนนำผู้ชุมนุมอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และบรรดากลุ่มทุนที่ให้การสนับสนุนการชุมนุม รวมไปถึงการอ้างจะใช้คดีอาญาจัดการกับผู้ที่เป่านกหวีด ทั้งที่ในทางกฎหมายจริงๆ แล้ว แค่ความผิดลหุโทษ
นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ที่มาร่วมชุมนุมต่อต้าน หากเปิดตัวชัดเจนก็จะถูกข่มขู่ คุกคาม หมายเอาชีวิต อย่างรายล่าสุด ดร.วรพรรณ เรืองผกา อาจารย์มหิดล และบุตรสาว 2 คน ที่ขึ้นปราศรัยบนเวทีต่อต้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 5 และ 17 พ.ย. ก็ได้รับจดหมายข่มขู่เอาชีวิต โดยจดหมายดังกล่าวมีถ้อยคำว่า “ตาย” เขียนด้วยเลือด และส่งถึงบ้านพักดร.วรพรรณเมื่อวเนที่ 18 พ.ย. ในเวลา 23.00 น.
ขณะเดียวกัน ก็ยังพบการขนมวลชนเข้าสู้เพื่อสะท้อนภาพรัฐบาลว่ายังคงได้รับการยอมจากประชาชนให้อยู่บริหารงานต่อไป อย่างในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ พบว่า ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน) กลับมีหนังสือด่วนที่สุดลงวันที่ 23 พ.ย. ถึงผู้อำนวยการศูนย์ กศน.ทุกแห่งในจังหวัด แจ้งขอให้ครูกศน.ทุกคนมาปฏิบัติราชการระหว่างวันที่ 24-27 พ.ย.ที่สำนักงาน กศน.จ.ชัยภูมิ โดยในวันที่ 24 พ.ย.ให้เดินทางมาถึงสำนักงานฯ ตั้งแต่เวลา 06.00 เพื่อปฏิบัติราชการ โดยให้เตรียมเสื้อขาว และหรือเสื้อสีแดง รวมถึงเครื่องนอนมาให้พร้อมด้วย ซึ่งก็มีรายงานว่าแม้หนังสือดังกล่าวจะอ้างให้มาปฏิบัติราชการที่ สนง.กศน.ชัยภูมิ แต่เป็นที่รู้กันว่าแท้จริงแล้วมุ่งหน้าสู่ราชมังคลากีฬาสาน สถานที่ชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ
เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพฤติกรรมที่ก่อเป็นภาพสะท้อนความหวั่นเกรงต่อการสูญเสียอำนาจของรัฐบาล ขณะเดียวกันก็กล่าวได้เป็นความเสื่อมทรุดในศรัทธาที่มีต่อรัฐบาลในสายตาประชาชน ที่นับวันยิ่งทบเท่าทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ หากแต่รัฐบาลก็ยังคงนิ่งเฉย ท่องคาถาการเสียงข้างมากมาจากประชาชน และเดินหน้านำพาประเทศดำดิ่งสู่ห้วงหุบเหวลึกต่อไป