สะเก็ดไฟ
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ชี้ขาดว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมประเด็นที่มา ส.ว. ขัดรัฐธรรมนูญหลายมาตราขัดข้อบังคับการประชุมสภา ใช้เอกสารเท็จและมีเนื้อหาเปลี่ยนแปลงเพื่อให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งได้อำนาจปกครองประเทศโดยไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
แม้จะไม่มีการเพิกถอนสิทธิสมาชิกรัฐสภาของ 312 ส.ส.-ส.ว.และไม่ยุบพรรค แต่ก็สะเทือนบัลลังก์อำนาจของยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรีผู้มีพี่ชายเป็นนักโทษหนีคดีอย่างรุนแรง
เพราะที่ผ่านมามีความพยายามที่จะทักท้วงไม่ให้นางสาวยิ่งลักษณ์นำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องไว้แล้ว แต่ยังไม่มีคำวินิจฉัยจึงมิบังควรที่จะนำเรื่องที่ยังมีมลทินขึ้นทูลเกล้าฯให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท
แต่นางสาวยิ่งลักษณ์กับคณะ ที่กำลังเหิมเกริมอย่างที่สุดในขณะนั้นก็ไม่ฟังคำท้วงติงของใครหน้าไหนทั้งสิ้น ยังดึงดันที่จะนำเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯโยนเผือกร้อนใส่สถาบันสูงสุด
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญชี้่ว่าร่างรัฐธรรมนูญฯดังกล่าวมีปัญหาขัดต่อรัฐธรรมนูญ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้นำร่างนี้ขึ้นทูลเกล้าฯ “จนทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท” ต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตัวเองในครั้งนี้
และต้องไล่เช็กบิลกับสมาชิกรัฐสภา 312 คนที่กระทำการขัดรัฐธรรมนูญด้วยการยื่นเรื่องถอดถอนต่อ ป.ป.ช.เพื่อให้ไต่สวนดำเนินการถอดถอนและดำเนินคดีอาญากับ “สมาชิกรัฐสภาโจร” ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
ยิ่งลักษณ์ ในฐานะเป็น “ผู้รับของโจร” ก็ต้องถูกดำเนินคดีอย่างสาสมด้วยเช่นเดียวกัน
เพราะพฤติกรรมท้าทายตุลาการ ไม่แยแสต่อระบบกฎหมายกระทำการขัดรัฐธรรมนูญของรัฐบาลยิ่งลักษณ์เกิดขึ้นซ้ำซากและยังคงดำรงอยู่จนถึงวันนี้ในหลายประเด็นดังนี้
กรณีเงินกู้สามแสนห้าหมื่นล้าน ซึ่งศาลปกครองชี้ว่ายังไม่มีการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญทำให้ยังเดินหน้าโครงการบริหารจัดการน้ำตามแผนที่รัฐบาลประเคนงบมหาศาลให้กับเควอเตอร์ได้โดยรัฐบาลเล่นตุกติกเดินสายทำประชาพิจารณ์ปลอมหวังหลอกศาลปกครองว่าได้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแล้วก็จะเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่มัดรัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่า เป็น “รัฐบาลโจรที่จงใจละเมิดรัฐธรรมนูญ”
กรณีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมเหมาเข่ง แม้ว่าจะนำไปแช่แข็๋งไว้ 6 เดือนด้วยการให้วุฒิสภายับยั้งไม่รับหลักการในวาระ 1 แต่ความผิดของ ส.ส.310 คนที่ผ่านความเห็นชอบกฎหมายอัปยศฉบับสุดซอย ด้วยการซอยสุดๆ ตอนตี 4 ครึ่ง ก็ถือว่าเป็นการสำเร็จความใคร่กลางสภาไปเรียบร้อยแล้ว
จะบอกว่าชักออกแล้วในชั้นวุฒิสภาคงฟังไม่ขึ้น เพราะมันไม่ได้ชักออกจริงแต่ยังคาสภาอยู่อีก 6 เดือน พร้อมทิ่มแทงซอยใหม่ได้ทันทีที่ครบกำหนดเวลา เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมมัดรัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่าเป็น “รัฐบาลโจร”
กรณีร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทที่ ส.ว.ร่วมชำเราประเทศสร้างหนี้สินให้ประชาชนด้วยการคว่ำร่างของกรรมาธิการฯ วุฒิสภาที่แก้ไขให้มีการกำหนดโครงการที่ชัดเจนและเงินต้องเข้าคลังทิ้งกลับไปใช้ร่างเดิมของ ส.ส.เปิดช่องให้มีการโยกโครงการเพื่อยักยอกเงินแผ่นดินได้อย่างสะดวกโยธินตอนตีสองห้าสิบนาที
เป็นอีกหนึ่งใบเสร็จที่มัดว่า “63 ส.ว.รับใช้รัฐบาลโจร” ซึ่งเรื่องนี้ยังเป็นมหากาพย์ที่ต้องติดตามกันต่อไปเนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นเรื่องต่อประธานสภาฯ เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยมีเลขรับเรียบร้อยจากเจ้าหน้าที่ แม้ว่าจะไม่ได้ยื่นถึงมือสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภา แต่ก็ถือว่าได้ดำเนินการตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญอย่างสมบูรณ์แล้ว
ดังนั้น ยิ่งลักษณ์จะต้องระงับการนำร่างกฎหมายดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ
จากนั้นก็ต้องมาลุ้นต่อว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่า “ขัดรัฐธรรมนูญ” หรือไม่ ถ้าขัดรัฐธรรมนูญก็จะเป็นอีกหนึ่งใบเสร็จมัดรัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่าเป็น “รัฐบาลโจร”
แต่ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ รัฐบาลจะดำรงสถานะรักษาอำนาจไว้ต่อไปได้หรือไม่ เพราะพลังของประชาชนที่ลุกฮือขึ้นมาขับไล่ระบอบทักษิณนั้นทำให้ยิ่งลักษณ์และสมุนทรราช ตกอยู่ในสภาพไม่แตกต่างไปจากหมาจนตรอก
ไม่ว่าจะยุบสภาหรือลาออกล้วนแต่ไม่ใช่คำตอบทางการเมืองที่ประชาชนพอใจทั้งสิ้นเพราะพฤติกรรมย่ำยีกฎหมาย กดขี่ประชาชน จ้องทำลายล้างอำนาจตุลาการของระบอบทักษิณที่สืบทอดทายาทมาถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้น ได้เหิมเกริมจนถึงขีดสุดจนประชาชนหมดความอดทนออกมาแสดงพลังกันแบบมืดฟ้ามัวดิน
โดยมีกำหนดวันที่ 24 พ.ย.นี้เป็นดัชนีชี้วัดพลังแห่งคุณความดีของสังคมไทยว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ด้วยการขุดรากถอนโคนระบอบทักษิณออกจากแผ่นดินไทยได้หรือไม่
ถ้ายิ่งลักษณ์ยุบสภาเพื่อใช้เป็นเงื่อนไขให้ประชาชนยุติการชุมนุม แต่ไม่สามารถหยุดประชาชนได้ ก็มีคำถามตามมาว่า “ยิ่งลักษณ์” ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ จะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอย่างไร
เพราะไม่มีกฎหมายห้ามว่าเมื่อยุบสภาแล้วประชาชนต้องยุติการชุมนุม!