หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยันถอนหมดนิรโทษ-ปรองดอง 6 ฉบับ อ้างพูดคำไหนคำนั้น ไม่หยุดเกี่ยวอีก ดักคอ ปชป.ยังยื้อชุมนุมต่อหวังผลโค่นรัฐบาล ด้านชาติพัฒนาขอเดินตามนายกฯ โฆษกรัฐบาลหวั่นผู้ไม่หวังดีปล่อยข่าวเป่าหูม็อบยกระดับการชุมนุม ตีกรรเชียงรัฐสั่งใช้ความรุนแรง โฆษกเพื่อไทยตีฝีปาก เตือนอย่าหลงเชื่อคนตัวดำเรี่ยไรเงินทำม็อบ
วันนี้ (6 พ.ย.) ที่ จ.จันทบุรี นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยเตรียมถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และร่าง พ.ร. บ.ปรองดอง 6 ฉบับออกจากวาระการประชุมสภา ว่าเป็นการยืนยันแน่ชัดว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ทำชนิดที่พรรคประชาธิปัตย์ไปพูดกับประชาชน พูดคำไหนก็คำนั้น ไม่ทำก็ไม่ทำ พร้อมถอนร่างต่างๆ ที่มีอยู่ทั้งหมดออกไป แสดงเจตนาสอดคล้องกับคำแถลงของนายกฯในฐานะฝ่ายบริหาร ส่วนในวันที่ 11 พ.ย.วุฒิสภาพิจารณาว่าอย่างไรก็ว่าไป ต่อไปจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกฎหมายนี้อีก จะไม่เสนออย่างอื่นเข้ามาอีก เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทย รัฐบาลต้องการเห็นความปรองดอง เมื่อเสนอเข้าไปแล้ว ไม่เห็นความปรองดอง ยื่นมือไปแล้วแต่เขาไม่จับมือ คนเราตบมือข้างเดียวไม่ได้ ไม่ใช่อันธพาล
นายจารุพงศ์ กล่าวว่าหากมีการถอนแต่การชุมนุมพรรคประชาธิปตย์ยังคงชุมนุมต่อก็เท่ากับว่าไม่ตรงกับที่กลุ่มผู้ชุมนุมอ้าง เพราะความจริงแล้วกลุ่มผู้ชุมนุมต้องการโค่นล้มรัฐบาล ประเภทได้คืบเอาศอกไม่ได้คำนึงถึงความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เราเองหยุดแล้วแต่เขายังไม่หยุด วันนี้ถอนออกมาทุกอย่างแล้วถ้าเขาทำอีก ไม่หยุดแสดงว่าเจตนารมณ์อำพราง เหมือนนิทานอีสปหมาป่ากับลูกแกะกวนน้ำให้ขุ่นหวังกินลูกแกะ แต่อย่าลืมรัฐบาลไม่ใช่ลูกแกะ แทนที่จะหยุดเพื่อเห็นแก่ชาติบ้านเมือง คิดแต่จะจ้องล้มรัฐบาลที่คนส่วนใหญ่เลือกมาบริหารประเทศ 4 ปี พรรคประชาธิปัตย์รอไม่ได้ใจจะขาดล้ม ใช้อำนาจนอกระบบ เดือน พ.ยให้โอกาสอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ไม่เลือกทางนั้น กลับใช้ระบบท้องถนน ไม่ใช้ระบบรัฐสภาอย่างที่ ปชป.เคยพูดไว้
นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และในฐานะโฆษกพรรคชาติพัฒนา กล่าวถึงแนวทางของพรรคในเรื่องของพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมว่า ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ถือว่าเป็นขั้นตอนที่อยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติ และขณะนี้ก็อยู่ในขั้นตอนของวุฒิสภา ซึ่งพรรคชาติพัฒนาเชื่อว่าวุฒิสมาชิกทุกท่านจะต้องมองเห็นถึงความสงบเรียบร้อยและความปรองดองของบ้านเมืองเป็นหลัก พร้อมกับจะใช้ความรอบคอบในการพิจารณาเพื่อไม่ให้มีกระทบต่อจิตใจพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ในเรื่องของประเด็นทางการเมืองที่ความเคลื่อนไหขณะนี้ ถือว่าเป็นสิทธิของพี่น้องประชาชนที่จะแสดงความคิดเห็นได้และรัฐบาลเองก็มีความห่วงใยในเรื่องนี้ ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลก่อนที่นายกฯ อย่างไรก็ตามในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อตัดสินใจมาลงเรือลำเดียวกันแล้วก็ต้องรับฟังด้วยหลักเหตุและผล
ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลได้ติดตามการประเมินสถานการณ์การชุมนุมโดยศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) พบว่ามีประเด็นที่น่าเป็นห่วง คือ ขณะนี้มีบางกลุ่มพยายามยกระดับการชุมนุม ให้เลยเถิดไปจากเป้าหมายในตอนแรก โดยปล่อยข่าวให้ผู้ชุมนุมหวาดระแวงว่าพรรคเพื่อไทยและวุฒิสมาชิกจะไม่รักษาสัญญา ที่ประกาศถอยร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งรัฐบาลอยากให้ผู้ชุมนุมอย่ากังวลในเรื่องนี้ และขอให้รอดูการดำเนินการของวุฒิสภา ทั้งนี้ เลขาธิการพรรคเพื่อไทยและประธานวุฒิสภาได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะยอมถอย เพื่อยุติความขัดแย้งทางความคิด ดังนั้น ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลจะไม่บิดพลิ้วประชาชน ส่วนการปล่อยข่าวว่ารัฐบาลจะสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม ก็ไม่มีมูลความจริง เนื่องจากนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายแก่เจ้าหน้าที่อย่างชัดเจนว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายทำร้ายประชาชน แม้จะมีความคิดเห็นแตกต่างจากรัฐบาลก็ตาม คงเหลือแต่พรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องพิสูจน์ให้สังคมเห็นว่า จะเห็นแก่ประโยชน์ของบ้านเมืองหรือประโยชน์ส่วนตน
ส่วนที่พรรคเพื่อไทย นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของพรรคประชาธิปัตย์และแนวร่วม ว่า น่าเสียดายที่คนพวกนี้ไม่ยอมหยุด ทั้งที่หลายฝ่ายได้แสดงความจริงใจออกมาเพื่อยุติปัญหาที่มีกลุ่มคนจ้องบิดเบือน ทั้งๆ ที่วัตถุประสงค์ของกฎหมายนิรโทษกรรมนี้ กระทำเพื่อให้ประเทศก้าวข้ามความขัดแย้งและคืนความเป็นธรรมให้กับเหยื่อของการรัฐประหารปี 49 ขอส่งสัญญาณเตือนไปยังนักธุรกิจทั้งหลาย ที่ได้รับซองกฐินจากคนตัวดำๆ เพื่อไปขอเรี่ยไรเงินมาล้มรัฐบาล ขอให้ท่านนักธุรกิจทั้งหลายอย่าได้หลงเชื่อ เพราะบัดนี้พรรคเพื่อไทยก็ได้ยุติการผลักดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแล้ว ดังนั้นจึงอยากขอร้องกลุ่มนักธุรกิจนายทุนทั้งหลาย อย่าไปสนับสนุนคนตัวดำ ใจดำคนนี้ เพราะบ้านเมืองกำลังเดินหน้าไปด้วยดี และถ้ามีหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงกลุ่มทุนใดชัดเจน ก็อาจโดนข้อหาสมรู้ร่วมคิดหรือเป็นผู้สนับสนุนให้มีการล้มล้างรัฐบาล