“แม้ว” ย่ำยีหัวใจคนไทย-คนเสื้อแดงแบบนี้ คงไม่ต้องรอนกหวีดเทือก!

ผ่าประเด็นร้อน

นาทีนี้ไม่ต้องอารัมภบท หรือสาธยายอะไรกันมากแล้วถึงรายละเอียดของร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่กำลังแปลงร่างให้ “สุดสามานย์” นั่นคือการเพิ่มเนื้อหาในมาตรา 3 เพื่อให้ครอบคลุมไปถึงการลบล้างความผิดของ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเป็นแบบนี้ก็ย่อมหมายความว่าบรรดา “หัวโจกคนเสื้อแดง” ทั้งหมด ไม่ว่าจะอยู่หัวแถวปลายแถว ก็จะรอดหมด ทั้งที่ศาลตัดสินแล้ว และที่ยังคาอยู่ในศาลรวมทั้งที่กำลังรวบรวมหลักฐานอยู่ก็จะเป็นอันยุติลง พวกที่ตัดสินว่าผิดไปแล้วก็เสมือนไม่เคยมีความผิดมาก่อน

ที่สำคัญก็คือ ทั้ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติการแม้ว่าจะมีพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินคุ้มครองอยู่ แต่คนพวกนี้ก็หลุดพ้นจากคดีไปด้วย และยังหมายรวมถึงแกนนำคนอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มการเมืองอื่นก็จะพ้นไปด้วย

แต่ประเด็นก็คือ “นี่คือการต้มตุ๋น” กลางวันแสกๆ อ้อ ไม่ใช่สิ น่าจะเรียกว่าเป็นการ “ทำเรื่องอุบาทว์-อัปรีย์” กันกลางเมืองมากกว่า โดยบรรดาขี้ข้าทั้งหลายที่รับงานมาจาก ทักษิณ ชินวัตร ให้แบ่งบทบาทกันเล่นได้อย่างถึงพริกถึงขิง บางคนก็บุกเข้ามาปล้นกันกลางวันแสกๆ เช่น กรณีที่ ประยุทธ ศิริพานิชย์ ที่เป็นกรรมาธิการฯก็รับบทขี้ข้ารายใหม่ทำหน้าที่เสนอเพิ่มข้อความให้ลบล้างความผิดครอบคลุมไปถึง ทักษิณ ซึ่งผลที่จะตามมาก็คือขั้นตอนต่อไปก็จะมีการคืนเงินที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทงการเมืองพิพากษายึดทรัพย์จำนวน 4.6 หมื่นล้านบาทรวมทังดอกเบี้ยก็น่าจะเกิน 5 หมื่นล้านบาท

ขณะที่พวกแกนนำเสื้อแดงก็สลับกันแสดงละครต้มตุ๋นคนเสื้อแดงด้วยกัน นั่นคือทำทีว่าไม่เห็นด้วยกับการยกเว้นความผิดครอบคลุมมาถึง ทักษิณ และแกนนำ โดยพยายาม “โฟกัส” ไปที่ อภิสิทธิ์-สุเทพ รวมไปถึงทหาร แต่เชื่อเถอะในที่สุดก็เงียบ โดยอ้างมติเสียงส่วนใหญ่ แม้ไม่เห็นด้วยก็ทำอะไรไม่ได้ จะออกมาประมาณนี้แหละ เพราะนี้คือเป้าหมายที่เสนอเข้ามาตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าต้องการตบตา ลดเสียงคัดค้านจากสังคม ทั้งที่เนื้อแท้และเป้าหมายหลักก็คือ ต้องการลบล้างความผิดและคืนเงินให้กับทักษิณ เท่านั้น แต่ในเมื่อกฎหมายไม่อาจเขียนแบบ “ระบุชื่อ” เจาะจงได้ มันก็ต้อง “เหมารวม” อย่างที่เห็นนี่แหละ

ที่เห็นท่าทีทุเรศก็คงไม่พ้นพวกแกนนำเสื้อแดง ตั้งแต่คนที่รับ “อุปโลกน์” ทำหน้าที่เป็นคนเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษฯฉบับนี้เข้ามาในสภาก่อนก็คือ วรชัย เหมะ ที่อ้างว่าตัวเองยังยืนยันว่าไม่เห็นด้วยที่ให้ลบล้างความผิดไปถึงแกนนำ โดยการสงวนคำแปรญัตติเอาไว้ แต่ความหมายก็คือเมื่อมติข้างมากว่าอย่างไรก็ต้องยอม เพราะนี่คือ “ประชาธิปไตย” รวมไปถึงท่าทีของพวกหัวโจกคนอื่นๆ ก็ไม่ได้แตกต่างกัน ที่พอเอ่ยชื่อก็คือ จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รวมทั้ง ธิดา ถาวรเศรษฐ ที่เป็นชนกลางใหม่ของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล นั่นแหละ คนพวกปากบอกว่า ไม่เห็นด้วยกับการให้ลบล้างความผิดให้กับแกนนำ โดยเฉพาะอภิสิทธิ์ กับสุเทพ แต่ถึงอย่างไรก็ได้แต่ยืนดูตาปริบๆ เพราะตัวเองก็ได้ประโยชน์ด้วย

แน่นอนว่างานนี้ ทุกคนได้ประโยชน์ และคนอย่างทักษิณ ชินวัตร ก็คงประเมินอ่านขาดแล้วว่า ในที่สุดแล้วพวกที่ทำท่าคัดค้านก็คงออกท่าทางพอเป็นพิธี ทุกอย่างก็คงปล่อยให้ผ่านไป

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องตั้งคำถามก็คือ คนเสื้อแดงระดับรากหญ้าปลายแถวทั้งหลาย รวมไปถึงบรรดาญาติพี่น้องของคนเสื้อแดงที่มีความสูญเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ รวมไปถึงต้องคิดคุกติดตะรางจะรู้สึกอย่างไร เพราะความหมายที่เห็นในตอนนี้ก็คือ การ “ถูกตบหน้า” ถูกหลอกแบบไม่เคยเห็นคุณค่า ซึ่งก็ไม่ต่างจากการ “ถูกหลอกให้มาตายแทน” ทักษิณ ชินวัตร ให้คนในครอบครัวของเขาได้เข้าสู่อำนาจ มีฐานะร่ำรวยมากขึ้นกว่าเดิม อยากถามว่า คนอย่าง นางพะเยาว์ อัคฮาต ที่เคยเคลื่อนไหวคัดค้านร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จะรู้สึกอย่างไร รวมไปถึงคนเสื้อแดงทั้งหลายจะรู้สึกอย่างไร เมื่อถูกตบหน้า เพราะคนที่เข้าใจว่าเป็น “ฆาตกร” ก็จะถูกปล่อยให้ลอยนวลไปด้วย

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร และบรรดาขี้ข้าทั้งหลายของเขาก็คือทำอย่างไรก็ได้ให้ พวกเขาได้พ้นผิด กลับมามีอำนาจอย่างเปิดเผยและป็นทางการ และได้รับเงินที่ถูกยึดไปกลับคืนมาเท่านั้น และนี่คืออาการของคนที่ “เห็นแก่ตัว” เอาแต่ได้ อะไรก็ได้ที่ตัวเองได้ประโยชน์ก็จะทำทุกทางเพื่อคว้าเอามาให้ได้ โดยไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น เนื่องจากอาจมองว่าที่ผ่านมาได้ “ใช้เงินฟาดหัว” ไปแล้ว แต่ขอโทษเงินที่ว่านั้นเป็นเงินหลวง ไม่ใช่เงินของเขาสักบาท

ดังนั้นเมื่อได้เห็นกันชัดๆ แบบนี้ก็คงไม่ต้องสาธยายอะไรกันมาก เพราะเห็นธาตุแท้กันแบบหมดจดแล้ว คำถามที่ต้องถามย้ำกันอีกก็คือคนไทยจะทำอย่างไร จะยืนเฉย หรือคนเสื้อแดงจะรู้สึกอย่างไรกับการถูกย่ำยีหัวใจ ด้วยการยกเว้นความผิดให้กับ “ฆาตกร” ตามความเข้าใจที่ถูกปลุกระดมมาตั้งแต่ต้น จะทำอย่างไร หรือว่าจะเชื่อกันแบบไม่ลืมหูลืมตากันต่อไป อย่างไรก็ตามสำหรับคนไทยอื่นๆ เชื่อว่านาทีนี้คงทนไม่ไหวแล้ว เพราะทุกเรื่องล้วนมีแต่เรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวทั้งสิ้น!!